7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ส่อเค้าว่าในอนาคตเมืองไทยอาจจมอยู่ใต้น้ำอย่างถาวร ซึ่งก็มิใช่เรื่องผิดธรรมชาติแต่อย่างใด เพราะอดีตมีหลายนครที่จมอยู่ใต้สมุทรมาแล้ว หนำซ้ำยังเป็นนครที่มีอารยธรรมสูงส่งน่าอัศจรรย์ จึงใคร่ขอนำเรื่องและภาพของนครใต้สมุทรเหล่านี้มาเสนอ

จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าในยุคน้ำแข็ง (Ice Age) ช่วงท้ายๆ ระดับน้ำในมหาสมุทรอยู่ต่ำกว่าที่เป็นเดี๋ยวนี้มาก ลองจินตนาการถึงภาพภูเขาน้ำแข็งสูง 3 กิโลเมตร ที่ปกคลุมอยู่ทางตอนเหนือของทวีปยุโรปและอเมริกาดูสิ ว่าจะมีปริมาณเป็นน้ำมากมหาศาลเพียงใด น้ำแข็งขั้วโลกนี้เริ่มต้นละลายเมื่อ 21,000 ปีก่อนโน้น และสิ้นสุดการละลายราว 10,000 ปีที่ผ่านมา

ผลของการนี้ ทำให้เมืองมั่งคั่งชายฝั่งทะเลค่อยๆ จมอยู่ใต้ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งบริเวณดินแดนที่ถูกทะเลกลืนกินพอๆ กับพื้นที่ยุโรปบวกกับประเทศจีน ประวัติศาสตร์ของดินแดนเหล่านี้ถูกลบทิ้งไปจากพิภพและเรื่องราวของพวกเขาก็ยากที่จะสำรวจค้นคว้า เพราะมหาสมุทรนั้น “ลึกลับสุดคณา”

เมืองที่สาบสูญไปใต้สมุทรซึ่งโด่งดังที่สุดได้แก่ “แอตเลนติส” (Atlantis) มีจารึกบันทึกถึงนครนี้ไว้มากกว่านครอื่นใด โดยเฉพาะหนังสือสองเล่ม ได้แก่ “ติมาอีอุส” (Timaeus) กับ “ไครติอัส” (Critias) ที่เพลโต (Plato) นักปราชญ์ชาวกรีกเขียนไว้ในปี 360 ก่อน ค.ศ. เขากล่าวถึงแอตแลนติสในฐานะนครที่มีความก้าวหน้าสูงส่ง มีกำแพงเมืองล้อมเป็นชั้นๆ และรุ่งเรืองสมัย 9,000 ปีก่อนเขาเกิด มีวังใหญ่ของกษัตริย์ เพลโตยังระบุว่ามีแสนยานุภาพทัพเรือที่พิชิตดินแดนอื่นๆ ทั่วโลก ที่สำคัญคือเขากล่าวว่าแอตแลนติสก็มีความสัมพันธ์กับโลกอื่นมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยเทพแห่งสมุทร “โพไซดอน” สร้างแอตแลนติสขึ้นมา ทั้งนี้ในสายตาของมนุษย์โลกแล้ว ผู้มาจากดวงดาวอื่นก็ดูสูงส่งดุจเทพเจ้านั่นเอง

ตำนานกล่าวว่า เทพโพไซดอนได้ประสบพบสาวงามบนโลกอนงค์หนึ่ง จากนั้นเธอก็ตั้งครรภ์ เทพแห่งสมุทรจึงได้สร้างแอตแลนติสขึ้นสำหรับทายาทที่ได้ครอบครองเมืองนี้ ต่อมาได้พ่ายแพ้ต่อนครเอเธนส์ (Athens) จึงได้เกิดมหาอุทกภัยขึ้น ถล่มนครนี้จนจมหายไปภายในหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเท่านั้น แต่บางตำนานกล่าวว่ามิได้เกิดภัยพิบัติอันใด หากเกิดจากน้ำมือชาวแอตแลนติสเอง

หนังสือของเพลโตบ่งชี้ว่าที่ตั้งของแอตแลนติสอยู่เบื้องหน้าเสาหลักของเฮอร์คิวลิส (Pillars of Hercules) ผู้รู้บางคนบอกว่า ตำแหน่งดังกล่าวก็คือช่องแคบยิบรอลต้า (Gibralta) ในปัจจุบันนั่นเอง ทั้งนี้ เมื่อผ่านพ้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ออกมาสู่มหาสมุทรแอตแลนติสอันไพศาลก็จะพบกับหมู่เกาะบาฮามาส (Bahamas) เรียงรายเป็นสายโซ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟลอริดา ซึ่งที่นี่เอง ในปี 1968 เจ.แมนสัน วาเลนไทน์ (J.Manson Valentine) นักโบราณคดีเชื่อมั่นว่าเขาได้พบบางส่วนของแอตแลนติสในลักษณะที่เป็นชั้นหินน่าทึ่งอยู่นอกชายฝั่งเกาะบิมินิ (Bimini island) บริเวณนั้นน้ำลึกเพียง 4 ถึง 6 เมตร ทำให้เห็นแนวหินได้ชัดเจน

แต่แรกคิดกันว่าเป็นเพียงหินชายหาดธรรมดา ครั้นแล้วจึงสังเกตเห็นว่า มันเป็นหินชายหาด (beach rock) ที่วางตั้งบนหินชายหาดอีกทีหนึ่ง โดยมีลิ่มหินเป็นสลักยึดไว้ให้มั่นคง นี่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ หากเกิดจากมือมนุษย์ และเมื่อพินิจต่อไปก็สันนิษฐานได้ว่ามันถูกก่อขึ้นเพื่อกันคลื่น ดังนั้น ภายในแนวหินยาว 100 เมตรนี้ก็คือท่าเรือนั่นเอง แล้วก็ยังพบต่อไปถึงสิ่งก่อสร้างน่าอัศจรรย์ใจอีกหลายอย่าง ทั้งถนนทางเข้าอาคารที่ถูกปกคลุมด้วยปะการังซึ่งมนุษย์ยุคนั้นไม่สามารถสร้างสรรค์ขึ้นได้

เป็นได้ไหมว่า ซากชายฝั่งเกาะบิมินินั้นก็คือแอตแลนติสที่สาบสูญไป และถนนที่พบอาจนำไปสู่อาคารอื่นๆ ของเมือง

กระทั่งปี ค.ศ.2000 นักสำรวจสมุทร พอลีนา เซลิทสกี้ (Paulina Zelitsky) ได้ค้นพบแนวหินที่วางเรียงเป็นสมมาตรใต้ทะเลทางตะวันตกของคิวบา จมลึกเกือบหนึ่งกิโลเมตร จึงต้องใช้เครื่องโซนาร์สำรวจ แล้วก็ได้ผลว่ามีอาคารหินขนาดมหึมาถึง 80 แห่ง ก่อสร้างด้วยหินบล็อกสี่เหลี่ยมซ้อนกัน แต่หลายก้อนก็เป็นแท่งกลม วางซ้อนเป็นระเบียบสูงถึง 5-6 เมตรก็มี เห็นชัดว่ามีลักษณะเป็นซากของถนน อาคารอุโมงค์ และพีระมิด

จากหินลาวาภูเขาไฟที่จมอยู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้ทดสอบได้ว่าซากเหล่านั้นมีอายุกว่า 6,000 ปี หรือว่าเมืองนี้ก็คือแอตแลนติสเมื่อ 10,000 ปีก่อน ดังที่เพลโตรจนาไว้

ทั้งคิวบาและหมู่เกาะบาฮามาสอยู่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle) ที่กินเนื้อที่กว่า 500,000 ตารางไมล์ เป็นที่ลือลั่นจากปรากฏการณ์สนามแม่เหล็ก ดึงดูดเครื่องบินและเรือต่างๆ ให้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นไปได้ไหมว่า สาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอุปกรณ์บางอย่างของมนุษย์จากโลกอื่นที่มาตั้งฐานอยู่ ณ แอตแลนติส ก่อนจะละทิ้งที่มั่นสุดท้ายนี้ไป

โยนากูนิ (Yonaguni)

ยังมีเมืองอื่นอีกมากมายรอบโลกที่จมอยู่ใต้สมุทร เช่นโยนากูนิ (Yonaguni) เกาะเล็กๆ ทางตะวันตกของญี่ปุ่นอาจเป็นอีกคำตอบ ในปี 1987 คิฮาชิโร อาราตาเกะ (Kihachiro Aratake) นักดำน้ำญี่ปุ่นได้พบโดยบังเอิญ กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ความลึก 20 เมตรจากฝั่งมหาสมุทร กล่าวกันว่าเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโบราณคดีใต้น้ำเลยทีเดียว

ลักษณะอาคารที่พบ เป็นแบบพีระมิดห้าชั้น ฐานกว้างขนาดสองสนามฟุตบอล มีช่องเป็นมุมฉากให้เดินเข้าไปได้อย่างสบาย จนถึงปลายทางที่มีบันไดหินขนาดยักษ์เรียงซ้อนกันเข้ามุม 90 องศา อย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ เพราะได้พบทั้งอุปกรณ์แกะสลัก และแท่งหินที่มีการสลักเสลาไว้ มีช่องอุโมงค์ที่สามารถดำลอดเข้าไปได้ มีใบหน้ามนุษย์ขนาดความสูง 8 เมตรสลักไว้บนผนังหินคล้ายกับหินสลักบนเกาะอีสเตอร์ แต่มองอีกทีก็เป็นแบบสฟิงซ์ที่เฝ้าพิทักษ์พีระมิดอียิปต์มากกว่า ทั้งหลายทั้งปวงนี้จมอยู่ตั้งแต่การละลายของยุคน้ำแข็งครั้งหลังสุด

มีซากฟอสซิลของมนุษย์ที่โยนากูนิ ซึ่งน่าจะเป็นของผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ ทว่าเขาจะสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นได้หรือ เพราะช่วงนั้นเรายังเป็นคนป่าอาศัยถ้ำและล่าสัตว์ไปวันๆ เท่านั้นเอง จะเอาเทคโนโลยีอันใดมาก่อสร้างอาคารมหึมาเยี่ยงนี้ได้ นักโบราณคดีบางคนจึงเชื่อว่าน่าจะมีร่องรอยของมนุษย์นอกโลกมาช่วยสร้างสรรค์ให้

แล้วก็น่าประหลาดที่สิ่งก่อสร้างอัศจรรย์นี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณที่ขนานนามกันว่า “สามเหลี่ยมมังกร” (Dragon’s Triangle) โดยไม่ไกลจากทางใต้ของญี่ปุ่น ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ละม้ายกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นั่นคือเครื่องบินที่บินผ่านได้อันตรธานไปจากท้องฟ้า และเรือก็สาบสูญไปจากท้องน้ำโดยไร้ร่องรอย ยิ่งกว่านั้น ทางการญี่ปุ่นยังออกคำเตือนว่า อย่าบินข้ามอาณาเขตนี้ หรือแล่นเรือให้ห่างๆ เข้าไว้ มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายขึ้นได้

พื้นที่สามเหลี่ยมมังกร

ตำนานโบราณของญี่ปุ่นสืบเนื่องถึงปัจจุบันได้กล่าวถึง “ทะเลมังกร (Dragon Sea) ไว้หลายเรื่องเกี่ยวกับการที่มีวัตถุลึกลับพุ่งขึ้นจากใต้ทะเล และโผบินขึ้นไปในอากาศ โดยตำนานโบราณจะอ้างว่าเป็นอสุรสัตว์ที่มีปีกและพ่นไฟจากปากได้ แต่ตำนานทันสมัยจะพูดถึงการปรากฏของยานที่มีเครื่องยนต์กลไก

ย้อนไปปี ค.ศ.1803 มีตำนานหนึ่งกล่าวไว้ถึงชายหาดตอนเหนือของญี่ปุ่นว่า มียานประหลาดขนาดใหญ่รูปทรงกลมถูกคลื่นซัดมาชายฝั่ง เมื่อชาวประมงเข้าไปดูภายในยานก็ได้พบสาวสวยวัยเยาว์ที่พูดภาษาซึ่งพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอกอดกล่องใบหนึ่งไว้แน่นโดยไม่ยอมให้ใครแตะกล่องนั้น กล่าวกันว่ากล่องใบนั้นบรรจุศีรษะของชายที่เธอรัก ตำนานดังกล่าวนี้รู้จักกันในชื่อ “อู สุโร บูเน่” หรือ “เรือที่ว่างเปล่า” และเป็นปริศนามาช้านานว่า เรือลำนี้มาจากแห่งหนใด สาวลึกลับมาจากดวงดาวไกลโพ้นใช่หรือไม่

มีรูปลักษณะหนึ่งเรียกกันว่า “โดกุ” (Dogu) เป็นหุ่นมนุษย์ที่ใส่ชุดฟอร์มอันมีหมวกโลหะครอบหัว บางตัวสวมแว่นตา หัวเข็มขัดกลมประหลาด รวมทั้งสายรัด เมื่อมองเผินๆ ก็เหมือนกับชุดของมนุษย์อวกาศยังไงยังงั้น นักโบราณคดีได้จัดทำแคตตาล็อกของโดกุไว้เป็นจำนวนถึง 15,000 ลักษณะ ซึ่งโดกุเหล่านี้สร้างไว้ตั้งแต่สมัยโจมอน อันเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ราว 14,000 ถึง 300 ปี ก่อน ค.ศ. ตำนานที่มาพร้อมโดกุกล่าวว่า พวกเขาลงมาจากท้องฟ้าและสั่งสอนวิชาการให้มนุษย์โบราณไว้หลายเรื่อง เป็นไปได้ไหมว่า “โดกุ” เหล่านี้คือผู้สร้างนครใต้น้ำแห่งโยนากุนิไว้

ข้ามมาทางซีกมหาสมุทรอินเดียบ้าง ปี 2001 รัฐบาลอินเดียใต้จัดทำโครงการสำรวจมลภาวะบริเวณก้นสมุทรอ่าวคัมพัต (Gulf of Khambhat) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย โดยไม่คาดว่าจะพบเห็นอะไรมากไปกว่าขยะสกปรกที่สุมอยู่ใต้น้ำ ทว่าเมื่อใช้เครื่องโซนาร์กวาดจับบริเวณที่ห่างจากฝั่งไปสิบกิโลเมตร เครื่องก็ได้สแกนภาพสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาขึ้นมาบนจอ นั่นคือซากของเมืองเก่าสองเมืองที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางถึง 13 ตาราง กม.

ครั้นสำรวจเพิ่มก็พบว่าสองเมืองนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโบราณ มีอาคารสร้างด้วยหินหลายหลัง และคงจมอยู่นานดึกดำบรรพ์ตั้งแต่สมัยที่นักโบราณคดีกล่าวว่า ครั้งนั้นยังไม่ปรากฏเมืองใดๆ บนพื้นโลก ทว่าด้วยความลึกจากผิวน้ำถึง 50-60 เมตร กับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ทำให้การสำรวจยากลำบาก กระนั้นทางการก็ยังสามารถเก็บรวบรวมสิ่งของไว้ได้หลายชิ้น ทั้งทำด้วยไม้และดินเผา ซึ่งเมื่อนำมาทดสอบแล้วก็ทำให้ตื่นตะลึง เพราะอายุของสิ่งของเหล่านี้ย้อนกลับยาวนานไปถึง 32,000 ปี โดยที่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเมืองนี้จมอยู่ใต้น้ำตั้งแต่ 9,000 ปีก่อนโน้น ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สองนครนี้ควรรุ่งเรืองในช่วง 32,000 ถึง 9,000 ปีในอดีต ทั้งที่อารยธรรมฮินดูนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 4,000-5,000 ปีมาแล้วเท่านั้น ในขณะที่บรรดานักปราชญ์ฮินดู ยืนยันว่าแท้จริงแล้วอารยธรรมฮินดูมีมานานกว่านั้น คืออาจถึง 100,000 ปีมาแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นการค้นพบซากเมืองโบราณแห่งอ่าวคัมพัตจะช่วยยืนยันความเห็นของปราชญ์ฮินดูได้หรือไม่

หลักฐานอีกแห่งหนึ่งที่อาจสนับสนุนความเห็นนี้ก็ได้แก่ ซากที่จมอยู่ใต้น้ำห่าง 320 กม. จากเมืองทวารกา (Dwarka) ปัจจุบัน ซึ่งได้มีการขุดค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ โดยที่ห่างจากชายฝั่งไม่มากนัก ระดับความลึกก็เพียงแค่ 23 เมตร ทำให้การสำรวจไม่ยากลำบาก นักดำน้ำได้ค้นพบกำแพงเมืองที่ก่อด้วยหินทราย ถนนปูด้วยหิน และมีร่องรอยความเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองในอดีตกาล นักโบรณคดีศึกษาดูแล้วก็ประกาศว่า นี่คือซากของเมืองโบราณในตำนานที่มีชื่อว่า ทวารกา อันเป็นที่สถิตของพระกฤษณะ เทพเจ้าที่ชาวฮินดูนับถือสูงส่ง สร้างความตื่นเต้นดีใจให้แก่ชาวฮินดู ประหนึ่งชาวคริสต์ได้ค้นพบจอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail) ยังไงยังงั้น

ตำนานเมืองทวารกาได้พูดถึงกษัตริย์ศัลวะที่ได้บุกมาโจมตีเมืองโบราณแห่งนี้ และมีการใช้อาวุธที่สูงด้วยเทคโนโลยีราวกับใช้โดยมนุษย์ต่างดาว และยังมีการใช้ยานพิเศษที่ลักษณะคล้ายยานอวกาศอีกด้วย

เรื่องของนครใต้สมุทรที่มีร่องรอยว่าสร้างสรรค์ขึ้นโดยผู้มาจากนอกโลกนั้นยังมีอีก เช่น เมืองวานากุ (Wanaku) ที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบติติกากา (Lake Titikaca) แห่งเปรู ที่ทีมงานอิตาลีได้ดำลงไปสำรวจเมื่อสิงหาคม 2000 และได้พบนครโบราณใต้ความลึก 30 กว่าเมตร

นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบเมืองใหญ่ระดับมหานครที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งนักโบราณคดีกำลังทำการสำรวจศึกษากันอยู่ ซึ่งจะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป

เรื่องโดย. ทิวากร สุวพานิช

ภาพโดย. www.discovermagazine.com, Mecintigote.ml, knowyofacts.com, www.bbc.com, tombraider.fandom.com, www.theyucatantimes.com, jpninfo.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •