ชนเผ่า “ตู๋หลง” อาศัยอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำตู๋หลง ซึ่งเป็นเขตติดต่อของเขตปกครองตนเองนู่เจียง เผ่าลี่ซู และอำเภอปกครองตนเองก้งซานของมณฑลยูนนาน และยังมีส่วนน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำนู่ บริเวณตอนเหนือของตำบลก้งซาน พูดภาษาตู๋หลง เป็นภาษาในตระกูลจีน-ทิเบต สาขาทิเบต-พม่า ซึ่งภาษาของชนเผ่าตู๋หลงทั้งสองบริเวณไม่แตกต่างกัน ไม่มีภาษาอักษร
เอกสารที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงชาวตู๋หลงคือ บันทึกการรวมราชวงศ์หยวน กล่าวถึงชาวตู๋หลงในชื่อ “เชี่ยว” ต่อมาในสมัยหมิงและชิงเรียกชนกลุ่มนี้ว่า “ฉิว” หรือ “ฉวี่” บันทึกทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ชาวตู๋หลงในสมัยถังและซ่ง อยู่ใต้การปกครองของน่านเจ้า และต้าหลี่ เมื่อถึงสมัยหยวน หมิง และชิงอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองลี่เจียง กลางสมัยราชวงศ์ชิง แบ่งเป็นสองส่วนอยู่ภายใต้การปกครองของชนเผ่าน่าซีแห่งเมืองลี่เจียง และเมืองเย่จือ ต่อมาถูกจัดรวมกันอีกครั้งให้อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองเย่จือทั้งหมดในเวลาต่อมา ปี 1909 มีการแต่งตั้งผู้ควบคุมดูแลบริเวณแม่น้ำตู๋หลง ปี 1918 ก่อตั้งเขตปกครองขึ้นในบริเวณที่เป็นอำเภอก้งซานในปัจจุบัน ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ของชาวตู๋หลงนั่นเอง
ก่อนการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนหน้านั้น ชาวตู๋หลงแม้จะไม่มีความรู้ในการผลิตเหล็กสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ แต่ด้วยความที่อยู่ใกล้ชิดกับชาวทิเบต ชาวฮั่น ชาวน่าซี ชาวป๋าย จึงได้รับอิทธิพลการผลิตเครื่องมือเหล็ก เช่น ขวาน มีด มาผลิตเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของตน โดยเฉพาะใช้ในการเกษตร จอบเสียมที่เดิมทำมาจากไม้ พัฒนามาเป็นจอบเสียมไม้หุ้มเหล็ก ระบบการเกษตรจึงเปลี่ยนจากเครื่องมือไม้มาเป็นเครื่องมือเหล็ก แต่อย่างไรก็ตาม ชาวตู๋หลงยังคงคุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือไม้อยู่ ผลผลิตทางการเกษตรก็ยังคงมีปริมาณไม่มาก ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการบริโภค จึงต้องหาอาหารโดยการเก็บของป่าและล่าสัตว์น้ำ อุปกรณ์จับสัตว์น้ำก็ถักและสานขึ้นง่ายๆ จากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ เถาวัลย์ แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้เครื่องมือเหล็กทำให้ผลผลิตเพิ่มปริมาณมากขึ้น และมีเหลือพอที่จะนำไปแลกผลผลิตอื่นกับชาวตู๋หลงด้วยกัน การแลกเปลี่ยนนี้เองเริ่มพัฒนาไปเป็นการนับราคาสินค้าด้วยวิธีใช้เชือกผูกไม้ การผูก 1 ครั้งเท่ากับการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนของหนึ่งอย่าง เกิดเป็นการตั้งราคาสินค้าในหมู่ชาวตู๋หลงขึ้น
ชาวตู๋หลงสืบสายตระกูลโดยญาติสายตรงเพศชาย การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินมีสามลักษณะคือ หนึ่ง “ที่ดินประจำตระกูล” คือที่ที่ร่วมมือกันหักร้างถางพงจับจองและสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ สอง “ที่ดินร่วมใช้” คือที่ดินที่ชาวบ้านสองสามครอบครัวช่วยกันบุกเบิกจับจองและถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกัน สาม “ ที่ดินส่วนตัว” คือที่ดินที่เป็นสมบัติส่วนตัวของครอบครัวหนึ่งๆ ธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับพืชและสัตว์ที่เป็นอาหารที่เกิดตามธรรมชาติ ในที่ดินทั้งสามประเภทนี้ก็ใช้วิธีการแบ่งกรรมสิทธิ์ตามเจ้าของที่ดิน สมาชิกที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีสิทธิ์ในอาหารธรรมชาติเหล่านั้นด้วย หากเป็นที่ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ร่วมกันหลายคนต้องแบ่งอาหารธรรมชาติในที่ดินเหล่านั้นอย่างเท่าเทียมกัน หลังฤดูเก็บเกี่ยวเป็นฤดูล่าสัตว์ ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันผู้ถือกรรมสิทธิ์มีสิทธิ์ล่าสัตว์ในที่ดินนั้นได้ ทุกคนถือกฎอย่างเคร่งครัดที่จะไม่ล่าสัตว์ในที่ดินของผู้อื่น
ถึงปี 1949 เป็นยุคการปลดปล่อย มีการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นสมบัติส่วนตัวขึ้นในหมู่ชาวตู๋หลง มีการเลี้ยงหมู ไก่ เป็นสมบัติของตัวเองและแลกเปลี่ยนเพื่อการค้าระหว่างกัน สื่อกลางที่ใช้เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนสินค้าคือ “วัว” ในที่ดินที่ถือครองกรรมสิทธิ์ ชาวตู๋หลงจะปลูกพืชจำพวกข้าวโพดและมันเพื่อการบริโภคในครัวเรือน การเพาะปลูกมีจำนวนมากขึ้นจึงนำออกมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินและไม่มีวัวเป็นของตัวเอง ต้องเช่าวัวจากผู้ที่ร่ำรวยกว่าโดยใช้ลูกสาวเป็นหลักประกัน จากระบบเศรษฐกิจที่พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ
ชาวตู๋หลงมีอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่าชนกลุ่มอื่นในละแวกเดียวกัน ชนกลุ่มที่มีความเจริญน้อยกว่ายอมเป็นทาสรับใช้ชาวตู๋หลง ทาสที่มาจากชนเผ่าอื่นนี้ก็ถือเป็นสมบัติที่ใช้แลกเปลี่ยนหรือใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืม หรือเช่าที่นาได้อีกอย่างหนึ่ง ต่อมาที่ดินส่วนใหญ่กลายเป็นสมบัติส่วนตัวจนหมด ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินใช้จอบ เสียม ไก่ หมู เป็นค่าเช่าหรือค่าประกันในการเช่าที่ดินทำกิน บางรายที่เคยเป็นเจ้าของที่ดินใช้ที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์อยู่ไปแลกกับสิ่งที่ต้องการเช่น อาหาร สัตว์เลี้ยง เครื่องมือการเกษตร จึงเกิดการค้าขายที่ดินเกิดขึ้น นอกจากนี้ ผู้ที่ไม่มีทรัพย์สมบัติในการเช่าที่ก็ใช้วิธีขายแรงงานแลกกับผลผลิตที่ได้ จึงเกิดการจ้างแรงงานขึ้นในหมู่ชาวตู๋หลง
หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ชาวตู๋หลงมีชีวิตและสังคมแบบใหม่ โดยในปี 1956 ก่อตั้งอำเภอปกครองตนเองเผ่าตู๋หลง เผ่านู่ ที่อำเภอก้งซาน รัฐบาลสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาการทำการเกษตร สาธารณูปโภค ระบบน้ำ ไฟฟ้า ผลผลิตการเกษตรสูงขึ้นเป็นลำดับ การผลิตยา ผลิตภัณฑ์หนังจากธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวตู๋หลงเริ่มเลี้ยงวัว แกะ หมู เป็นสัตว์เศรษฐกิจ รัฐบาลก่อตั้งแหล่งกำเนิดไฟฟ้าและน้ำขึ้น มีการก่อสร้างระบบคมนาคม สะพาน นอกจากนี้ระบบการสาธารณสุข และการศึกษาก็ได้รับการพัฒนาอย่างกว้างขวาง
ชาวตู๋หลงเป็นชนเผ่าที่รักการร้องเล่นเต้นรำ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ เช่น ระหว่างทำนา เก็บเกี่ยว ล่าสัตว์ สร้างตึก จีบสาว การเฉลิมฉลอง เป็นต้น ล้วนใช้เพลงเป็นสื่อขับกล่อม บรรยายความรู้สึกทุกข์ สุข รัก หรือเศร้าของตน เพลงที่ร้องในการทำงานพัฒนามาเป็นวัฒนธรรม การเต้นรำ ขับร้องและดนตรีในเวลาต่อมา เครื่องดนตรีที่บรรเลง ประกอบการขับร้องและเต้นรำ ได้แก่ พิณ ฆ้องโหม่ง ขลุ่ย กลองหนังและพิณ ในงานฉลองรื่นเริง ผู้หญิงชาวตู๋หลงจะเป็นผู้บรรเลงพิณ ประกอบกับการขับร้อง ส่วนชายชาวตู๋หลงดื่มเหล้าฉลองสนุกสนานครื้นเครง การเต้นรำบ้างเรียงเป็นแถวชายหญิงหันหน้าเข้าหากัน ทั้งร้องทั้งเต้น บ้างจับมือกันเป็นวงกลมร้องเพลงเต้นรำ เสียงเพลงสะท้อนความสนุกสนานอันบริสุทธิ์ ในขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความ องอาจกล้าหาญของชาวเผ่าตู๋หลง
ชายหญิงชาวตู๋หลงสวมเสื้อผ้าฝ้ายคลุมไหล่ข้างเดียว พาดเฉียงไปทางขวา ใช้เชือกร้อยมีดเป็นปมที่ใต้รักแร้ขวา ชายสวมกางเกงขากว้างสั้น แขวนมีดหรือลูกศรธนูไว้ที่เอว ชายหญิงชาวตู๋หลงชอบไว้ผมยาว ทรงผมที่นิยมคือด้านหน้ายาวลงมาถึงคิ้ว ด้านหลังยาวถึงบ่า ด้านข้างยาวปิดหูทั้งสองข้าง ผู้หญิงชอบสวมตุ้มหูและสร้อยคอ และคาดเอวด้วยเถาวัลย์ย้อมหลากสีสัน หากออกจากบ้านจะแขวนกระบอกไม้ไผ่ไว้ที่เอว สวมผ้าถุงสีสันสดใส พันขาด้วยผ้าฝ้าย นอกจากนี้สตรีชาวตู๋หลงยังนิยมวาดหน้าด้วยสีจากธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งของชาวตู๋หลง
อาหารหลักของชาวตู๋หลงคือข้าวเจ้าและข้าวสาลี ในอดีตเนื่องจากการเพาะปลูกไม่เพียงพอ อาหารจำพวกสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ก็เป็นอาหารหลักที่สำคัญของชาวตู๋หลงอีกอย่างหนึ่ง โดยเนื้อที่ได้มาส่วนใหญ่ทำให้สุกโดยวิธีการย่าง ชาวตู๋หลงชอบดื่มเหล้าที่หมักเองและชอบสูบฝิ่น บ้านเรือนของชาวตู๋หลงสร้างด้วยไม้หรือไม้ไผ่ ในบ้านแบ่งเป็นสามห้อง คือส่วนที่เป็นห้องพักอาศัยหนึ่งห้อง และครัวสองห้องอยู่ตรงกันข้ามกัน ครัวหนึ่งเป็นของหัวหน้าครอบครัว อีกครัวหนึ่งเป็นของลูกที่แต่งงานแล้ว ลูกที่แต่งงานแล้วไม่แยกครอบครัว แต่จะอาศัยอยู่กับพ่อแม่ โดยกินอยู่รอบๆ ครัวอีกฟากหนึ่งนั่นเอง หากมีลูกมาก บ้านไม่เพียงพอ ก็จะต่อเติมบ้านเพิ่มขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกัน หรือสร้างต่อกันกับบ้านของพ่อแม่
ชาวตู๋หลงยึดถือการมีสามีภรรยาคนเดียว แต่ในอดีตมีการแต่งงานเป็นหมู่ ผู้ชายมีภรรยาหลายคน โดยแต่งกับพี่สาวและน้องสาว หนุ่มสาวชาวตู๋หลงมีอิสระในการพบคู่รัก แต่การแต่งงานพ่อแม่จะเป็นผู้จัดการให้ทั้งหมด บางครั้งมีการหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก เมื่อแต่งงานไปแล้ว ทุกครั้งที่ภรรยาคลอดลูก 1 คน ลูกเขยจะต้องมอบวัวหรือสิ่งของมีค่าให้กับพ่อแม่ฝ่ายหญิง หากภรรยาเสียชีวิตตั้งแต่ยังอายุน้อย พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะต้องคืนสินสอดส่วนหนึ่งให้ฝ่ายชายเพื่อเป็นค่าช่วยเหลือในการแต่งงานใหม่
เช่นเดียวกับเผ่าอื่น เมื่อมีคนตาย ชาวตู๋หลงทำพิธีศพโดยการฝัง หากเสียชีวิตด้วยโรคร้ายจะทำพิธีศพโดยการเผา
ในด้านความเชื่อ ชาวตู๋หลงเชื่อว่าสรรพสิ่งมีวิญญาณ จึงนับถือผีต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับธรรมชาติเป็นอย่างมาก เชื่อว่าลม ฝน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ภูเขา แม่น้ำ ก้อนหินใหญ่ ต้นไม้รูปร่างแปลกประหลาดล้วนมีผีสิงสถิตอยู่ ซึ่งชาวตู๋หลงเชื่อว่าผีเหล่านี้จะทำร้ายคน ดังนั้นจึงต้องอธิษฐานขอพร และเซ่นสังเวยผีต่างๆเหล่านี้ การบูชาผีจะมีหมอผีประจำเผ่าเป็นผู้ประกอบพิธี ด้วยความเชื่อว่าหมอผีเป็นผู้ติดต่อกับผีได้ ดังนั้นชาวตู๋หลงจึงให้ความเคารพนับถือหมอผีประจำเผ่ามาก
ในอดีตที่ผ่านมา ชาวตู๋หลงผ่านความยากลำยากมามาก เนื่องจากบ้านเรือนที่ตั้งของชนเผ่า เป็นเส้นทางสงคราม ทำให้ผู้คนพลัดบ้านพลัดเมือง ผู้หญิงถูกฉุดไปข่มขืน หรือถูกเอาตัวไปขายเป็นทาส ด้วยเหตุนี้ สตรีชาวตู๋หลงในอดีตจึงนิยมสักหน้า เพื่อว่าจะให้รอดปลอดภัย จากอันตรายตามความเชื่อของหมอผี ด้วยเหตุนี้ เราจึงยังเห็นผู้หญิงชาวตู๋หลงที่มีรอยสักบนใบหน้า หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับเทศกาลสำคัญของชาวตู๋หลงมีเพียงเทศกาลเดียวคือการขึ้นปีใหม่ แต่การขึ้นปีใหม่ของชาวตู๋หลงไม่มีกำหนดแน่นอน ต้องดูว่าปริมาณผลผลิตที่ได้มากน้อยเพียงใด จึงจะสามารถกำหนดวันขึ้นปีใหม่ได้ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน
เรื่องโดย. ตะวัน สัญจร
ภาพโดย. ตะวัน สัญจร, www.elevation.maplogs.com