7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

สิบเอกทหารบก อายุ 32 ปีนายหนึ่ง ขอเรียกชื่อท่านนี้ว่าหมู่สิน ผู้เขียนพบกับหมู่สินที่วัดแห่งหนึ่งในภาคใต้ หมู่สินได้พูดถึงความในใจของการเดินทางเข้าวัดครั้งนี้ เนื่องจากได้ตั้งจิตอธิษฐานในเรื่องสำคัญบางอย่างที่ติดค้างในใจเขามานานถึง 5 ปีเต็ม เป็นเรื่องของบุตรสาวคนเดียวที่เขามีความเชื่อว่าอาจเป็นคุณย่าของเขาได้กลับชาติมาเกิดเป็นลูกสาวในชาตินี้จริง!

หมู่สินเริ่มเรื่องว่าตัวเขานั้นมีภรรยาอยู่แล้ว สมรสเมื่ออายุ 27 ปี แต่ภรรยาคนแรกนั้น ความที่เธอเป็นคนทำงานเก่ง มีความฝันของตัวเองสูง โดยห้วงเวลาหนึ่งที่เธอต้องออกต่างจังหวัดบ่อยๆ หมู่สิน ความที่ยังเป็นวัยรุ่น จึงติดสอยห้อยตามทหารรุ่นพี่ออกไปเที่ยวตามผับ ตามบาร์บ้าง และการท่องราตรีในห้วงเวลานั้น ทำให้เขาได้ไปติดพันกับผู้หญิงกลางคืนคนหนึ่ง เธออายุมากกว่าเขา 2 ปี สาเหตุที่ต้องมาทำงานเป็นสาวเชียร์เบียร์นั้น เพราะความจำเป็นทางครอบครัว เนื่องจากฐานะทางครอบครัวยากจนนั่นเอง

“ยอมรับครับว่าผู้หญิงคนนี้ผมอยู่กินกับเธอนานเป็นเดือนจริง ต่อมาเมื่อภรรยาจับได้ ผมจึงบอกเลิก ซึ่งเธอไม่ได้โวยวายอะไร…ยอมรับครับว่าเป็นการจากกันด้วยดี เราต่างคบกันโดยไม่มีข้อผูกมัด เพราะผมบอกเธอตั้งแต่เริ่มต้นคุยกันแล้ว ว่าผมมีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพียงแต่เธอยังขี้เกียจมีลูกให้ผม เพราะยังสนุกอยู่กับงาน” หมู่สินเล่าระบายความในใจอย่างช้าๆ “จนหลายเดือนผ่านไป ผมพอจะลืมเลือนเธอคนนี้ไปแล้ว แต่วันหนึ่งรุ่นพี่ได้มาเล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงคนที่เคยอยู่กับผมคนนี้เธอท้อง แต่ไม่มีพ่อของเด็ก และตอนนี้เธอได้ลาออกจากงานไปแล้ว เพราะท้องเริ่มนูนเห็นชัด ตอนนั้นผมนึกอย่างไรไม่ทราบครับ คือมีความคิดที่จะเดินทางไปเที่ยวหาเธอที่บ้านต่างอำเภอ ซึ่งบ้านเกิดของเธอผมเคยไปเที่ยวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เย็นวันนั้น ทันทีที่เธอรู้ว่าผมมา เธอขอให้ผมกลับไปอยู่กับภรรยาเถอะ ส่วนเมื่อถามว่า ใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง เธอไม่ตอบ และขอร้องให้ผมกลับไป ไม่ต้องมาอีก กระทั่งเมื่อเธอคลอดลูก เมื่อผมทราบข่าวก็แอบไปดูเธอที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าเธอมาคลอดลูกตามลำพังครับ เมื่อเห็นผม เธอตกใจมาก ผมถามว่าแล้วพ่อของลูกไปไหนเสียล่ะ เธอตอบว่า “พ่อของลูกนั้นอยู่ในตัวลูกสาวของเธอหมดแล้ว” ซึ่งตอนนั้นเธอร้องไห้อย่างหนัก เมื่อผมพิจารณาเด็กที่นอนหลับตาพริ้มที่ตรงหน้า มันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนใครสักคนที่ผมนึกไม่ออก?

ตั้งแต่เธอออกจากโรงพยาบาล ผมได้แอบไปซื้อข้าวของให้เด็กคนนี้ เหมือนมีความผูกพันอะไรสักอย่างที่เหนี่ยวรั้งจิตใจไว้ กระทั่งเด็กหญิงคนนี้เริ่มโต อายุ 1 ขวบผ่านไป ในวัย 3 ขวบเธอค่อยมีรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจน จากตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณย่าแท้ๆ ของผมเอง เท่าที่ผมจำความได้ คุณย่าจะมีเค้าหน้าและแววตาอย่างนี้ ยิ่งเมื่อเดินทางกลับไปบ้านเดิมของคุณย่าที่จังหวัดสิงห์บุรี ไปค้นดูรูปภาพวัยเด็กของคุณย่า และได้มาเปรียบเทียบกับเด็กหญิงคนนี้ ทุกอย่างคือคนคนเดียวกันครับ เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ส่วนคุณย่าผมนั้น ที่ท่านมีภาพถ่าย ภาพวาดในวัยเด็ก เพราะว่าต้นตระกูลปู่ทวด ย่าทวดเคยรับใช้อยู่ในรั้วในวัง คุณย่าของผมได้เติบโตที่เรือนหลังใหญ่ ซึ่งคุณพ่อของผมเคยเล่าว่า ตัวคุณย่าเป็นผู้ดีเก่าประเภทหมอบคลาน มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า ผมของท่านจัดว่าเนี้ยบที่สุด จะต้องสวมเสื้อผ้าตามสีของวัน และตามฤกษ์พิเศษ ด้านอุปนิสัยใจคอ คุณย่าท่านเป็นคนที่ฉลาดพูด และจะเลือกพูดกับคนที่สนิทด้วยเท่านั้น หากท่านใช่จะเย่อหยิ่งเสียทีเดียวนะครับ เพราะใครถ้าลองพูดคุยถูกใจ ท่านมักจะให้อยู่นอนค้างที่เรือนเลยล่ะ” หมู่สินถอนหายใจเบาๆ

“วกกลับมาที่เด็กหญิงคนนี้ เมื่อน้องมีอายุย่างเข้า 4 ขวบ ตอนนั้นผมแอบเอาชื่อ – สกุลของน้องเข้าจดทะเบียนรับรองบุตร เพื่อที่น้องเข้าโรงเรียนจะได้เบิกได้ ค่ารักษาพยาบาลเบิกได้ ซึ่งเรื่องนี้ภรรยาผมไม่ทราบเรื่องเลย ดั่งที่บอกเพราะเธอทำแต่งานๆ เพื่อที่จะก้าวเป็นระดับผู้บริหาร

เมื่อน้องเข้าโรงเรียน เราสองพ่อลูกเริ่มมีความสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ที่บ้านในอำเภอที่น้องอยู่อาศัย บ้านคุณแม่เขาล่ะครับ ได้ห่างจากตัวเมืองที่ผมทำงานประมาณ 60 กิโลเมตร คิดว่าทำอย่างไรจะพาลูกสาวไปเที่ยวที่ไหน ซื้อของอะไร ทำอะไรก็สะดวก และได้มานั่งสังเกต ความที่มีลูกสาวคนเดียว ได้ดูแลเขาใกล้ชิด ลูกจะมีตู้เสื้อผ้าของเขาเอง เสื้อ กระโปรง หรือกางเกงจะมีทุกสี และน้องจะขอแม่ ขอคุณยายบอกว่าขอใส่เสื้อผ้าตามสีของวัน เช่น วันจันทร์ใส่สีเหลือง วันอังคารใส่สีชมพู ประมาณนี้ อีกรองเท้าแตะหรือรองเท้าใส่เที่ยว ก็จะมีทุกสีเช่นกันครับ ต้องครบเซต เขาเป็นของเขาเอง” หมู่สินถอนหายใจเฮือกใหญ่

พูดง่ายๆ น้องนั้นไม่เหมือนเด็กตามประสาบ้านนอกทั่วไป เรื่องการแต่งตัวนั้นจะเด่นมาก ทั้งที่อายุ 4 ขวบ ส่วนคำพูดคำจาของน้อง บางคราวก็เหมือนเด็กที่ดูแก่แดด อย่างเมื่อไม่นานนี้ ที่ผมไปนอนค้างกับลูก เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ผมเห็นลูกนั่งหวีผมยาวๆ ด้วยตัวเองที่หน้ากระจก ก่อนจะร้องเรียกหาแม่ของเขาแล้วพูดว่า “แหม่ม เธอรีบมารวบผมให้ฉันเร็วๆ ฉันจะเข้าห้องน้ำ ก็รู้ว่าไม่ชอบผมยุ่งๆ” ก็ต่อว่าน้องไปว่าทำไมไปเรียกคุณแม่หรือคุณแม่แหม่มเล่า อีกพูดฉันๆ เธอๆ เหมือนคนโตหรือเพื่อนคุยกันเท่านั้นล่ะ ลูกสาวมองค้อนให้ผม ซึ่งสายตานั้นคือคุณย่าชัดๆ เพราะช่วงที่ก่อนคุณย่าท่านจะเสียชีวิต ผมเองก็โตแล้ว และอยู่คลุกคลีกับท่านมาตลอดในช่วงที่คุณพ่อพาไปเที่ยว พูดง่ายๆ คุณย่าท่านรักผม เพราะเป็นหลานชายคนโต เป็นหลานคนแรก เจอที่ไหนเป็นต้องกอด ต้องหอมตอนนั้น ส่วนลูกสาวก็เหมือนกันครับ ทันทีที่เจอหน้า เมื่อลูกสวัสดีก็รีบกระโดดเข้าหอมแก้มซ้ายขวาผมอย่างไม่ต้องมีใครมาบอก มาสอน และเมื่อนั่งเล่นคุยกันไปมา ลูกสาวจะบ่นบอก “คุณพ่อใช้เงินให้ประหยัดๆ หน่อยนะคะ เหล้ายาอย่าไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนฝูงมากนัก เข้าสังคมมากมีแต่หมดสตางค์” พูดเหมือนคุณย่าบ่นคุณปู่ไม่มีผิด ส่วนคุณปู่ก็รับราชการทหารเหมือนกัน พูดง่ายๆ ว่าคำพูดของเด็กอายุ 4 ขวบเหมือนอบรมเรา คล้ายผู้ใหญ่สอนเด็ก บางครั้งผมเองยังรู้สึกกลัวๆ ในคำพูดของลูกเลยครับ

ฉันพยักหน้ารับคำของรุ่นน้องท่านนี้ ซึ่งการกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง คนโบราณในยุคก่อนที่บุญ – บาปเสมอตน ให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ทันที ก็มักเลือกที่จะเกิดในครอบครัวของตนเอง

ทั้งนี้หมู่สินเล่าต่อไปถึงความเชื่อที่เขาเชื่อว่า ลูกสาวคนนี้คือคุณย่าได้หมุนเวียนกลับชาติมาเกิด นั่นคือ “ครั้งล่าสุดที่ได้กลับไปเยี่ยมคุณแม่ ผมเรียนถามท่านถึงคุณย่า เพราะก่อนที่คุณย่าจะเสียชีวิต ตัวคุณแม่ผมที่เป็นนางพยาบาลได้ดูใจคุณย่าเป็นคนสุดท้าย เล่าว่า…คุณย่าท่านเป็นโรคลมปัจจุบัน จากไปอย่างง่ายดายนี่ล่ะครับ คือท้องจะอืด หายใจไม่ออก สิ้นใจไปในชั่วเวลาไม่กี่นาที ต่อมาคุณแม่เล่าว่า…ช่วงที่ตรวจเช็กชีพจร ได้มีเลือดกำเดาไหลออกจากจมูกคุณย่า เป็นเลือดสดๆ คุณแม่ก็นำเอาผ้าก๊อซมาซับเลือด และบังเอิญเลือดได้ติดปลายนิ้วคุณแม่สองสามนิ้ว และท่านได้ช้อนศีรษะคุณย่าให้ตั้งชัน เพื่อเอาหมอนออก หากปลายนิ้วมือที่ติดเลือดได้ไปโดนไรผมคุณย่าช่วงท้ายทอยครับ ซึ่งมันมีคราบเลือดเป็นปื้นราว 2 – 3 นิ้วมือ

คุณแม่เล่าว่ายังแอบคิด นี่ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ขอให้วิญญาณคุณย่ากลับมาเกิดเป็นวงศ์วานว่านเครือของตระกูลเราเถิด…ซึ่งคุณย่าท่านจากไปในวันที่ 17 มิ.ย. 2557 ถ้าจะนับไปแล้ว ลูกสาวของผมนั้นคลอด 13 เม.ย. 2558 ห่างกันเพียงแค่ 10 เดือนของการตั้งครรภ์ น่าคิดอยู่นะครับ” ระหว่างนี้หมู่สินระบายยิ้มบางๆ บนใบหน้า “หากเรื่องไหนไม่สำคัญเท่า วันหนึ่งที่ได้หวีผม เกล้าผมให้ลูกสาวที่บริเวณท้ายทอย ได้มีปานแดงเบาๆ คล้ายนิ้วมือไล้ขึ้นจากท้ายทอยขึ้นไปครับ เป็นรอยปานแดงจางๆ แต่ทำอย่างไรก็ไม่หาย มันเป็นสิ่งที่ติดมากับตัว คุณแม่ของน้องยังบ่นอย่างนั้น ซึ่งตอนที่น้องยังเป็นเด็กเล็กนอนแบเบาะ ปานแดงที่ท้ายทอยมันเด่นชัดมาก แต่เมื่อน้องโตขึ้น ร่างกายผิวหนังขยายขึ้นก็ค่อยจางลง แต่รอยนิ้วมือคงไม่จางหายไปเสียทีเดียว ณ เวลานี้”

หมู่สินเล่าว่าที่เขามาพูดคุยเสมือนได้ระบายความในใจครั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า มีความปรารถนาอยากให้ญาติธรรมช่วยชี้นำทางสว่างว่าเขาจะดำเนินไปในทางไหนดี เนื่องจากภรรยาแรกก็รักเพราะร่วมผูกพัน ใช้ชีวิตคู่กันมาหลายปีก่อน แต่งงาน มีครอบครัว ทว่าเรื่องบุตรสาวนั้น เขาได้มีความผูกพันอีกแบบหนึ่ง นั่นคือเป็นความผูกพันทางสายเลือด…ชีวิตครอบครัวช่างไม่ลงตัวเอาเสียเลย

ทั้งนี้ผู้เขียนไต่ถามว่า คุณนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ทำให้จิตใจได้สงบนิ่งประมาณสักกี่วัน? ให้ได้คำตอบในฐานะลูกผู้ชายชาติทหารว่าไม่แน่ใจครับ? จึงพูดให้เขาเข้าใจถึงการได้สละเวลามาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ในเมื่อขันน้ำ พานรองรอคุณอยู่แล้ว เพียงแต่คุณใส่ความเงียบสงบ ทำจิตใจ ชำระล้างให้ขาวสะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณ…

เมื่อทำความดีอย่าได้ลังเล ซึ่งเมื่อพ้นจากธรณีสงฆ์ หากคุณทำได้ คุณจะมีสติ จิตใจคุณจะแกร่งขึ้น นั่นคือพลังบุญ ขออนุโมทนาให้ปัญหาชีวิตของคุณลุล่วงไปด้วยดีเทอญ วันนั้นเราแยกจากกันโดยไม่รู้ถึงผลลัพธ์ หากการหนึ่งที่ให้ได้รับรู้ รับทราบ นั่นคือการกลับชาติมาเกิดนั้นมีอยู่จริง

**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. unsplash.com, www.freepik.com, amplify.pepperl-fuchs.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •