7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ผู้เขียนได้รับข่าวร้ายของเอ ซึ่งเอนั้นเป็นเพื่อนสนิทของลูกชายผู้เขียน เอได้ประสบอุบัติเหตุระหว่างงานเทศกาลสงกรานต์ แม้ดวงชะตาของเอจะยังไม่ถึงแก่ชีวิต หากแต่เขาต้องกลายเป็นเด็กหนุ่มที่พิการ แขนขาดถึงสองข้างด้วยวัยเพียง 30 ปีเท่านั้น

                เอเริ่มเข้ารับราชการทหารบกยศนายสิบรุ่นเดียวกับลูกชาย ซึ่งทุกครั้งที่ลูกชายกลับมาเที่ยวบ้าน มักจะมีเอตามมาเที่ยวด้วยทุกครั้ง ทั้งนี้เมื่อได้เห็นลูกชายตั้งวงเหล้า ความไม่สบายใจของคนเป็นแม่ย่อมเกิดขึ้น และเมื่อเอ่ยปากตักเตือนถึงสุขภาพของลูก เขาก็ได้แต่พูดอ้าง “เอาเถอะครับแม่…นานๆ พวกผมถึงจะได้ดื่มกินสักครั้ง ช่วงเรียน ช่วงฝึก ช่วงเข้าป่าออกทะเล พวกผมก็ไม่เจอมันแล้ว” ทั้งนี้การเกิดอุบัติเหตุครั้งสำคัญในชีวิตเอ พานเอาลูกชายถึงกับขยาดเรื่องการดื่มเหล้าในช่วงเทศกาล ลูกชายดูขวัญเสียเมื่อรู้ถึงอุบัติเหตุของเอ ต้นเรื่องนั้นหนีไม่พ้นเรื่องของน้ำเมา ฤทธิ์สุราพาไป ลูกชายเริ่มเล่าถึงเพื่อนสนิทเขาอีกครั้ง

                “ปกติที่เอมันร่างกายดี แม้จะกินมากหรือกินน้อย สติของมันก็ยังดีนะครับ พาตัวเองกลับบ้านได้ตลอด จากที่ครอบครัวของเอเป็นคนค้าขายกันทั้งบ้าน ทำให้เอมันใจใหญ่ ใช้เงินเก่ง เรื่องกินเรื่องเที่ยวเท่าไหร่มันไม่อั้น เรื่องอุบัติเหตุคราวนี้ ผมและเพื่อนๆ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นกับเอได้ หากเกิดอุบัติเหตุ แข้งขาหักถือเป็นเรื่องปกติ แต่การที่ต้องถูกตัดแขนทิ้งทั้งสองข้างนี่สิครับ แค่คิดใจผมก็หมดแล้ว แล้วเอที่มันโดนล่ะ”

                ลูกได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเอ “เช้าวันที่ 13 เมษา เอมันโทรมาหาผม เล่าว่าตอนนี้กูอยู่บ้านที่เพชรบุรี มึงมาสิ กูเล่นน้ำสงกรานต์กับเด็กแถวบ้านกู กินตั้งแต่เช้า และช่วงค่ำที่มันเกิดอุบัติเหตุก็คงเป็นดวงของเอมันด้วย ปกติเอเป็นคนที่ไม่หวงรถเหมือนคนอื่นเขา รถปิกอัปของมันที่กองร้อยฯ ถ้าเอ่ยปากยืม เอมันให้ยืมหมด วันที่ผมไปเยี่ยม เอเล่าว่าเด็กแถวบ้านยืมรถไปซื้ออะไร ป๋าเอโอเคหมด จนรอบดึกกับแกล้มหมดอีก เอก็ใช้เด็กคนเดิมขับรถไปซื้อ แต่พอมาคราวนี้ พอสตาร์ตรถเกิดกระตุกติดๆ ดับๆ เอเลยต้องขับไปเอง แล้วใครจะคิดนะครับ มีช่วงจังหวะหนึ่งที่รถออกตัวไปในราว 100 เมตร รถเกิดพุ่งไปอัดกับต้นไม้ข้างทาง และช่วงนั้นเอมันสูบบุหรี่ด้วย และถังน้ำมันก็คงรั่ว รถทั้งคันก็เลยระเบิด เรียกว่าเสียงระเบิดนั้นดังไปทั้งหมู่บ้าน เอบอกว่ากูคลานกระเสือกกระสนออกจากกองเพลิง เอาชีวิตรอด สองแขนขาดห้อยร่องแร่งก็ถือว่าบุญโขแล้ว…ผมยอมรับเลยนะครับ กำลังใจเอมันดีมาก แม้รู้ตัวว่าต้องพิการแขนไปทั้งชีวิต แต่ใครที่ไปเยี่ยม มันแซว พูดคุยสนุกสนาน ทั้งที่แผลนั้นเต็มตัว แต่ก็นั่นล่ะครับ เมื่อคนเยี่ยมกลับหมด เอมันอาจแอบร้องไห้คนเดียวก็ได้ ใครจะไปรู้นะครับ”

                แล้วลูกก็เล่าถึงชีวิตครูฝึกที่ต้องไปฝึก ไปเรียน ไปนอน ใช้ชีวิตกลางป่ากลางทะเล วงรอบหนึ่งๆ ก็ในราว 3 เดือน “พูดแล้วก็เหมือนทวนเข็มนาฬิกาหมุนครับ ช่วงที่อยู่ในป่า…ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทั่วไป กางเต็นท์ ก่อไฟฟืน ทำกับข้าว ไม่ว่าเอมันเห็นสัตว์อะไรผ่านตา มันต้องจับโยนใส่กองไฟหมด ถ้าเป็นพวกสัตว์มีพิษ พวกตะขาบ แมงป่อง หรืองู ถ้าเราตีมันก่อน ชีวิตกลางป่าถือเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไอ้เอมันจับโยนนี่ ตั้งแต่อึ่งอ่าง คางคก จิ้งเหลน กิ้งก่า ที่ตายหมู่ก็เป็นรังมดแดง ไอ้เอเจอแล้วต้องปีน สอยเอามาลนไฟ เหมือนสัตว์พวกนี้เป็นของเล่นของมัน ตัวผมเองเคยถามมันครับแม่ “เพื่อน ทำมันทำไม ทำแล้วได้อะไร” มันก็ตอบแถไป “กูได้ดูอะไรที่สนุกสนาน ตอนที่มันตะเกียกตะกายออกมาจากกองไฟ เพื่อนไม่เห็นหรือว่ามันดิ้นรน ทุรนทุราย สะใจดีว่ะเพื่อน” ฟังลูกพูดไป ได้นึกถึงเวรกรรมไปพร้อมกัน

                “จนมันได้ฉายา นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเพชรบุรี เพื่อนๆ พี่ๆ ตั้งให้ไอ้เอดูเว่อร์ๆ ไปอย่างนั้นครับ เพราะกับทุกคนแล้ว เอมันเป็นคนที่มีน้ำใจ และออกจะเสียเปรียบเพื่อนฝูงด้วยซ้ำ คนเราก็อย่างนี้แหละแม่ จะหาอะไรที่ดีพร้อมในคนคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ครับ”

                ฉันกลับมาสนใจเรื่องกรรมใหม่ของเอและมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเอ ไม่ใช่เรื่องดวงซวยอย่างบังเอิญ แต่เป็นเรื่องของกรรมที่ได้ทรมานสัตว์ จนพวกเขาต้องจบชีวิตอย่างทรมานนั้นต่างหากที่เวียนมาตามสนอง! ครั้นเมื่อถามถึงบิดามารดาของเอนั้นเล่า เนื่องจากความทุกข์ของผู้เป็นลูกนั้นหมายถึงความทุกข์อันใหญ่หลวงของคนเป็นพ่อแม่

                “ก็เครียดสิครับ แม่เอถึงกับขายของไม่ได้ แม่พูดในยามลับหลังกับเพื่อนลูกทุกคน “แม่หมดกำลังใจ หากเจ็บแทนกันได้ แม่ขอนอนเจ็บแทนลูกเสียดีกว่า แม่เห็นอาการครบ 32 ของลูกมาตั้งแต่แรกคลอด แล้วมาวันหนึ่ง…ต้องมาถูกตัดแขนถึงข้อศอกถึงสองข้าง ทำไมฟ้าดินถึงกลั่นแกล้งครอบครัวเราได้เพียงนี้ เมื่อได้ฟังแล้ว ใจผมก็พลอยสลดหดหู่ คงมีแต่เพื่อนสนิทกับเอจริงๆ ที่รู้ว่าเอมันชอบทรมานสัตว์จนถึงตาย แต่กับพ่อแม่ท่านคงไม่รู้”

                เมื่อถามถึงระยะเวลาที่ลูกชายได้พบเห็นต่อการกระทำของเพื่อนสนิท “ก็หลายปีอยู่ครับแม่ 7-8 ปีเห็นจะได้ บางคราวช่วงออกฝึกในฤดูฝน เอมันก็ถาม “เฮ้ย! สิน เพื่อนอยากเห็นอึ่งอ่างกอดคอกันตายหมู่ไหม” เพราะพอฤดูฝน ช่วงที่อยู่ในป่านั้นทรมานกันทุกคน เสื้อผ้าชุดฝึกเปียกแห้ง เปียกแห้งอยู่อย่างนั้น หากวันไหนอยู่เวร พอจะแอบงีบ แอบนั่ง อึ่งอ่างมันชอบมาร้อง กระโดดเหย็งๆ ผ่านหน้าไปมา ไอ้เอมันคงรำคาญ เที่ยววิ่งไล่จับอึ่งอ่างจนได้เต็มหม้อแกงใหญ่ แล้วมันก็ตำพริกขี้หนู ตำเกลือใส่ ตอนแรกผมคิดว่ามันคงเก็บไว้ทำรอบเช้า แต่พอเห็นมันยืนเยี่ยวลงหม้อ ก่อนปิดฝาขัดหม้อเท่านั้น ผมก็ถาม “เอ มึงทำอะไรของมึง ลำพังอึ่งสกปรกน่ะไม่เท่าไหร่…แต่เยี่ยวของมึงนี่สิ กินก็กินไม่ลง แล้วหม้อต้มก็เอากลับมาทำกับข้าวอีก”

                มันตอบผม “กูทำเพราะตัดความรำคาญ มึงไม่เห็นหรือ พวกมันเลิกกระโดดเพ่นพ่าน เสียงก็เงียบไป กูทำเพื่อความสงบสุขของมึงด้วย เห็นความดีของกูบ้าง” เมื่อผมเงียบ มันก็เงียบบ้าง ตกรุ่งเช้า พอเพื่อนสนิทคนอีสานที่เคยกินอึ่ง เมื่อรู้ข่าวก็ขอบใจไอ้เอเสียยกใหญ่ ก่อนที่จะเอาอึ่งมาผ่าท้อง ย่างไฟจนหอม กินตอนนั้นก็ได้ เอาไปแกงก็อร่อย เพื่อนบอกให้ผมลองชิมดู แต่ภาพที่ไอ้เอยืนคร่อมปากหม้อยังจำได้ ส่วนไอ้เอก็นั่งมองผม กลัวผมจะพูดความจริงให้โดนกระทืบ เมื่อผมเดินออกจากวงข้าว ไอ้เอถึงกับถอนหายใจเฮือก คงโล่งอก วีรกรรมของไอ้เอมันเยอะจริงๆ ครับแม่ และก็มีอีกเหตุการณ์ครับ ที่บ้านห้วยดินดำ ที่ผมจำไม่ลืม”

                โดยกลางป่าของบ้านห้วยดินดำนี้เต็มไปด้วยสัตว์เล็กที่มีพิษ ฝังตัวอยู่ทุกซอกทุกมุม เช่น ตะขาบยักษ์ แมงป่องช้าง รวมไปถึงงูหลากหลายสายพันธุ์ “เย็นนั้น ฝนมืดตั้งเค้ามาตั้งแต่บ่าย เมื่อเคลียร์พื้นที่กางเต็นท์ที่พักได้ก็ต้องรีบก่อไฟหุงหาอาหาร ก็ไอ้เออีกล่ะครับที่เดินหาฟืนแห้ง แต่กลับไปเจอตะขาบที่ตัวใหญ่มากตัวหนึ่ง เรียกตะขาบยักษ์ก็ว่าได้ เพราะรอบตัวของมันวัดได้ 2 นิ้ว ความยาวนั้น 1 ฟุตไม้บรรทัด เมื่อไอ้เอเจอก็ทุบหัวทันที มันบ่นกับผม “กว่าจะตายห่าตายโหงก็พากูเหนื่อย ตัวใหญ่ฉิบหาย” มันยื่นตะขาบกองกับพื้นเรียกให้ดู วันนั้นผมนั่งพิจารณาเกล็ดที่แข็งหนาของมัน ส่วนขาที่ถี่ยิบก็เรียงอย่างเป็นระเบียบ แต่ส่วนหัวนั้นเละคาตีนไอ้เอไปแล้วครับ ก็ยังคิด ขอให้ไปเกิดใหม่ที่ดีๆ อย่ากลับมาเกิดเป็นสัตว์มีพิษ เป็นตะขาบ เพราะใครเจอก็ต้องฆ่าทุบตีอีก

                แต่พอถึงค่ำ ทุกคนก็ลืมเรื่องนี้ จนราวสี่ทุ่มฝนก็ตกพรำๆ คิดว่านอนสบายแล้ว แต่ที่ไหนได้ครับ เสียงลากใบไม้แกรกๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นหนู แต่เต็นท์สนามปัจจุบันแน่นหนา งูเคยฉกมาแล้วไม่เข้าครับ พอแยกเสียงฝนกับเสียงแกรกๆ ได้ เพราะมันดังนาน ดังไม่หยุด เลยต้องแอบเปิดหน้าต่างเต็นท์ดู เชื่อหรือไม่ครับ เต็นท์ไอ้เอที่นอนติดกับผม ตะขาบเป็นร้อยๆ ตัวเกาะหุ้มไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ผมรีบโทรหาไอ้เอ ถามเพื่อนหลับยัง ให้เพื่อนตื่นเดี๋ยวนี้

                มันย้อนด่าผม “กูก็นอนสิวะ จะให้กูทำอะไร ไอ้เวร” ผมเลยบอก “ตอนนี้รอบเต็นท์มึงมีแต่ตะขาบเป็นร้อยตัว มันจะแทะหัวมึงอยู่แล้ว” คราวนี้มันเงียบอึ้งเลยครับ รีบถามผม “ใครอยู่เวร ใครอยู่เวร ช่วยเอาไบก้อน ดีดีทีหรืออะไรก็ได้มาฉีดไล่ตะขาบให้กูที”

                ปกติตอนเข้าป่าก็จะมียาฆ่าแมลงติดไว้ที่หน่วยพยาบาล เมื่อติดต่อกับหัวหน้าชุดได้ เป็นรุ่นพี่นะครับ แกก็ระดมอัดฉีดยาจนหมดไป 2-3 กระป๋อง กว่าจะแยกย้ายกันเข้านอนอีกรอบได้ก็ค่อนคืน เพราะตะขาบมันเยอะจริงๆ คราวนี้บทสรุปก็มาจบลงที่ไอ้เอ มันถูกรุมด่าในทำนองเดียวกัน เมื่อเข้าป่าอย่าเที่ยวฆ่าส่งเดช และตะขาบที่ตายตอนเย็นก็อาจเป็นต้นตระกูล เป็นบรรพบุรุษของตะขาบ ไม่อย่างนั้นพวกลูกหลานมันคงไม่แห่มาล้อมเต็นท์ของไอ้เอไว้ เหมือนตามมาล้างแค้นให้ยังไงก็ยังงั้น เป็นครั้งแรกนะครับที่เห็นเอมันซึม ไม่โมเม แถสนุกสนานเหมือนทุกคราวที่ผ่านมา”

                เล่าถึงตอนนี้ ลูกชายก็หัวเราะ “เรื่องแสบๆ ของไอ้เอไม่ได้จบแค่นี้ครับ ก่อนออกจากป่าในวันรุ่งขึ้น มันได้จุดธูปบอกตะขาบที่มันฆ่า บอกเขาว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ 3 วันติดต่อกันเลย ขออย่าได้เจอกันอีก ให้ยุติเวรกรรม อาทิตย์ถัดมาได้ผลัดพัก หนึ่งวัน สองวัน สามวันผ่านไป ผมเลยถามไอ้เอ “วันไหนจะไปทำบุญ” มันย้อนผมยังไงรู้มั้ยครับแม่ “โธ่ไอ้สิน! มึงคิดว่ากูพูดจริงรึยังไง กูหลอกผีตะขาบ หลอกลูกหลอกหลานให้มันตายใจ ให้พวกเราได้พ้นๆ ออกจากป่า มึงก็เชื่อ ส่วนกูจะทำบุญหรือไม่ทำ มันก็เรื่องของกู พ้นออกจากป่าแล้วก็แล้วกัน กูคงจะไม่กลับเข้าไปอีกในผลัดหน้า” คราวนี้ก็ไม่รู้จะไปเค้นคอเอาอะไรกับมัน”

                เมื่อถามลูกชาย เรื่องนี้เกิดขึ้นนานหรือยัง “ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี่เองครับ เอมันอาจลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ผมไม่เคยลืม ตะขาบตัวใหญ่ๆ เป็นร้อยตัว มันติดตาผมจริงๆ และที่ผมคิดนะครับแม่ สัตว์ที่มีพิษ แรงอาฆาตนั้นสูง ผมมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง บ้านแกอยู่ อ.จอมบึง ขาขับรถกลับบ้านก็จะใช้เส้นทางผ่าน อ.สวนผึ้ง แกเล่าว่าวันหนึ่งมีงูจงอางสองตัวเลื้อยผ่านรถแก ตัวแรกเลื้อยผ่านไปทัน มาตัวที่สองแกทับจนขาดกลางสองท่อน แต่งูยังไม่ตาย ยังไงต้องมาตามเอาคืนแกแน่นอน เพราะสายตางูที่จ้องแกนั้นมันไม่ลดละ และจองเวรอย่างบอกไม่ถูก จนแกลืมเรื่องนี้ไป

                มาเมื่อเร็วๆ นี้เป็นช่วงเทศกาลวันปีใหม่ แกเลยเลี่ยงมาใช้ถนนสายรอง ก็คือเส้นทางนี้ เป็นถนนเลียบคลองชลประทาน คราวนี้งูสองตัวมันพากันมาดักรอพี่เลย ใกล้กับที่เดิมที่เคยชนมัน คราวนี้แกบอก เมื่อเห็นก็ชะลอรถ ตั้งใจบอกกับมัน ขอให้ต่างคนต่างอยู่ แต่ที่ไหนได้ พอหยุดรถเท่านั้น มันก็ฉกเข้าที่ล้อเสียงดังโป๊ก โป๊ก จนรถสะเทือน ปากพี่แกก็พูด “ฉกให้พอเลยนะครับท่าน ตัวผมจะได้ไม่ต้องไปใช้เวรพวกท่านในชาติหน้า เพราะผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด” พอแกบอก มันหยุดทันทีเหมือนมีญาณ! ก่อนที่จะเลื้อยจากไป”

                เมื่อไตร่ตรองมองลึกลงไป เรื่องเหล่านี้เป็นบทพิสูจน์ของเวรกรรมได้เป็นอย่างดี ในความทันสมัยของโลก ณ ปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี ผู้คนโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ ต่างพากันละเลย ไม่คาดคิดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับแค่ฆ่าผู้ที่พลังด้อยกว่า มันจะส่งผล มีอิทธิพลกับชีวิตของใครได้ เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการสะสมทำความดีหรือกระทำความชั่ว ย่อมส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าขาดการพิจารณากันเท่านั้น เมื่อมีบุญได้เกิดมาในชาติหนึ่งๆ การไม่เบียดเบียนชีวิตหนึ่งชีวิตใด ไม่ว่าคนหรือสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อน ย่อมถือว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐแล้ว

                ต้องขอขอบคุณความเป็นมาและเป็นไปของคุณเอที่ให้ร้อยเรียงเรื่องราว หากเรื่องนี้เกิดสะกิดใจผู้คนให้ลดซึ่งการเบียดเบียน อานิสงส์ผลบุญตรงนี้ ขอให้คุณเอหรือลูกเอได้หายวันหายคืนค่ะ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. www.denbighshirefreepress.co.uk, www.sfzoo.org, www.whatspaper.com, www.rei.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •