27 กรกฎาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เรื่องนี้ผู้เขียนต้องการสื่อถึงสถานที่ตาย โดยแต่ละบุคคลอาจจะได้สร้างกรรมไว้เหมือนกัน คล้ายกัน… ย่อมมีลักษณะการเสียชีวิตในรูปแบบเดียวกัน ในสถานที่เดียวกัน โดยขอย้อนกลับไปใน 4 ปีก่อน

เป็นบ้านแฝดปลูกคู่กับบ้านผู้เขียน โดยบ้านของผู้เขียนนั้นมีเลขที่ x / 21 ส่วนบ้านหลังเกิดเหตุคือบ้านเลขที่ x / 22 เจ้าของบ้านหลังนี้ท่านเป็นอดีตนางพยาบาล ได้ซื้อบ้านหลังดังกล่าวก็เพื่อให้คนเช่าเพื่อมีรายได้ในยามชรา

ผู้เช่ารายแรกเป็นแม่ลูกคู่หนึ่ง มีลูกชายวัย 10 ขวบเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 เมื่อมีเวลาว่างผู้เป็นแม่มักจะออกมาพูดคุย เล่าว่าตัวเธอนั้นเป็นหญิงม่าย…มีอาชีพขายประกันชีวิต เป็นแม่ที่เลี้ยงลูกชายตามลำพังที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน โดยบุคลิกทั่วไป น้องคนนี้จะเป็นคนที่พูดจาดี มีสัมมาคารวะ ส่วนรูปร่างหน้าตานั้นจัดว่าดีคนหนึ่งในวัย 38 ปีของเธอ

กระทั่งหลายเดือนผ่านไป มีรถกระบะคันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้าน และเป็นชายวัย 40 ปี แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาๆ ลงมาจากรถ

เขาตะโกนร้องเรียก “ปอนด์… น้องปอนด์พ่อกลับมาแล้ว”

ซึ่งเป็นเด็กชายวัย 10 ขวบวิ่งออกมากอดคอ หอมผู้ชายคนดังกล่าว จากนั้นเมื่อพ่อลูกถามสารทุกข์สุกดิบกัน ผู้เขียนได้ยินผู้ชายคนนี้พูดว่า “พ่ออุตส่าห์ตั้งใจทำงานเก็บเงินได้สองแสนเพื่อมาง้อขอคืนดีกับแม่… ปอนด์ช่วยบอกแม่เขาทีว่าพ่อมีเงินแล้ว ขอให้มาคืนดีกันเร็วๆ”

ซึ่งวันนั้นพ่อแม่ลูกนั่งรับประทานหมูกระทะอย่างมีความสุขที่หน้าบ้าน หากแต่ค่ำหน่อย น้องคนนี้บอกกับสามีและลูกว่าเธอต้องรีบออกไปพบลูกค้าที่ต่างอำเภอ อาจต้องกลับดึกหน่อย

ต่อมาคนทั้งสองก็ตั้งหน้าตั้งตาเถียงกัน โดยเป็นการถกเถียงที่ไม่มีเหตุผล ใช้อารมณ์เสียมากกว่า แต่ที่หนักกว่านั้นคือ สามีอีกคนของน้องได้ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านดิฉันและออกมายืนฟังคำพูดที่เธอกับสามี พ่อของลูกถกเถียงกัน โดยเฉพาะเรื่องความหมางเมินที่ภรรยามีต่อเขาในตอนนี้ เช่น “สามสี่เดือนผัวจะกลับมาสักที จะนอนอยู่คุยกันข้ามคืนไม่ได้เลยรึไง เดี๋ยวออกไปทางโน้น ออกไปทางนี้ที ทำตัวกระโดดกระเด้งเหมือนเดิม ให้ตายสิ…นิสัยเธอนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลย”

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

จากนั้นคนทั้งสองได้เถียงกันคำรบใหญ่…ท้ายที่สุดปอนด์ได้เก็บเสื้อผ้าขึ้นรถไปกับพ่อของเขา ขับหายไปในความมืด

ชั่วอึดใจ สามีอีกคนของเธอได้แสดงตัวพร้อมคำต่อว่าน้องคนนี้มากมายในทำนองที่ว่า ตัวเขามีหน้าที่การงาน มีศักดิ์ศรี และจะไม่ยอมเอาเมียใครทำเมียเป็นเด็ดขาด

หากผู้ชายคนนี้ยังไม่ทราบว่าได้มีลักษณะชายชู้ได้วนเวียนมาอยู่กับน้องคนนี้อีก 3-4 คน

ในที่สุด เมื่อการต่อว่าต่อขานจากฝ่ายชายจบลง สรุปว่าเขา…ขอเลิกกับเธอ จากนั้นเขาได้ขับรถออกจากบ้าน โดยตะโกนร้องบอก “พอกันทีผู้หญิงแพศยา ไม่รู้จักพอ”

ส่วนน้องคนนี้ก็เอาแต่ร้องไห้ตามรถยนต์ที่ขับออกไป ซึ่งในท้ายที่สุดน้องได้สารภาพกับฉันว่า เธอรักผู้ชายคนนี้มากที่สุด ส่วนผู้ชายคนอื่นนั้นเธอหวังแค่เงิน ทำทุกอย่างก็เพื่อเงิน ส่วนพ่อของลูกนั้นเธอพูดอย่างไม่อาย

“หนูก็เป็นเมียน้อยมันอีกที ถ้าถามว่าใครเลว มันก็เลวพอๆ กันนั่นล่ะค่ะ” เธอก้มหน้าร้องไห้ก่อนจะปลีกตัวเข้าบ้าน และเธอได้หายเงียบไปเลยตั้งแต่ค่ำของวันนั้นจนจรดเย็นของอีกวัน…

ใช้เป็นภาพประกอบเท่านั้น

ปอนด์และพ่อของเขาได้พากันกลับบ้าน ปรากฏว่าเมื่อเรียกให้เปิดประตูอย่างไรน้องก็ไม่เปิดประตูให้ค่ะ จนต้องหุบและพังประตูเข้าไปตามด้วยเสียงร้องไห้ของปอนด์

“แม่ แม่ทำอย่างนี้ทำไม แล้วปอนด์จะอยู่กับใคร?”

ซึ่งเมื่อตามรถกู้ชีพของโรงพยาบาลเพื่อมาชันสูตรพลิกศพร่างน้อง พบว่าเธอดื่มยาฆ่าตัวตายภายในห้องน้ำของบ้าน

ผู้เขียนได้แต่ยืนฟังเจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาลพูดคุยกันโดยไม่กล้าเข้าไปดู เมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้จัดการแบกร่างน้องออกประตูรั้วบ้านไปให้รู้สึกใจหาย เนื่องจากเมื่อหัวค่ำของวันวานนั้นยังนั่งพูดคุยกันอยู่เลย ส่วนของพิธีศพก็ไม่พ้นพ่อของลูกเป็นผู้จัดงานทุกอย่าง ส่วนเงินสองแสนบาทที่ตั้งใจจะมอบให้แม่ของลูกกลับกลายเป็นต้องมาจัดงานศพไป

หลังจากงานศพ เมื่อทางสามีเก็บข้าวของจากไปแล้ว ทางคุณป้าอุไรเจ้าของบ้านได้นิมนต์พระมาทำบุญให้คนตายอีกครั้ง โดยคุณป้าอุไรมีความเชื่อว่าเมื่อผู้ตายได้รับส่วนบุญส่วนกุศลแล้วก็คงไปสู่ที่ชอบ โดยครั้งนั้นป้าอุไรได้บอกกับฉัน

ขอปิดบ้านไว้สักพักเพื่อทำใจ แต่หากคนอยากมาขอเช่าก็คงให้เช่าต่อไป” แต่จนแล้วจนเล่าวันเวลาผ่านไป ในโครงการหมู่บ้านที่ฉันอยู่นั้นมี 800 หลังคาเรือน เรื่องการตายของน้องคนดังกล่าวย่อมพูดกันไปปากต่อปาก ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาบ้านให้เช่าของคุณป้าอุไรจำต้องถูกปิดร้าง จนถึงต้นปี พ.ศ. 2563 วันหนึ่งได้มีรถยนต์สีขาวมาขับจอดที่หน้าบ้านฉัน และเป็นผู้หญิงรูปร่างหน้าตาดีก้าวลงจากรถตรงมาที่ฉัน

“คุณป้าคะ ทราบว่าบ้านหลังที่ติดกับคุณป้าเขาให้เช่าใช่ใหมคะ”

เมื่อฉันให้เบอร์โทรศัพท์คุณป้าอุไรไป รุ่งขึ้นอีกวันน้องผู้เช่ารายใหม่ได้ย้ายของเข้ามาทันที

เมื่อมองอย่างผิวเผิน ผู้คนในละแวกนี้รวมถึงตัวฉันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้องคนใหม่ช่างเหมือนกับน้องผู้เช่ารายเก่าที่เสียชีวิตไป ทว่าน้องคนเก่านั้นเธอเป็นคนที่แต่งตัวเก่ง ส่วนน้องคนใหม่นี้เธอแต่งหน้าบางๆ และสวมแว่น คงเหลือแต่รูปร่างสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

เมื่อวันเวลาผ่านไป…จากที่น้องเคยบอกว่าเธอมีอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าโหล และอาศัยอยู่ตามลำพัง ซึ่งผู้เขียนเองไม่ค่อยพูดคุยกับน้องคนนี้นัก เพราะเธอเคยคุยให้ฟังว่า ต้องเร่งทำยอดรายได้ และต้องส่งผ้าเข้าสต็อกให้ตามกำหนด ไม่เช่นนั้นต้องถูกปรับประมาณนี้

จนเย็นวันหนึ่ง ฉันเห็นผู้หญิงสูงวัยก้าวลงจากรถยนต์มาถามถึงบ้านคนเย็บผ้าโหล ใช่อยู่แถวนี้ไหม เมื่อบอกไปตามตรงว่าอยู่ติดกับบ้านฉันนี่ล่ะ เดี๋ยวจะเรียกให้ ไม่รู้จะใช่คนเดียวกันหรือเปล่า เพราะอยู่กันมาเป็นเดือนฉันยังไม่รู้จักชื่อน้องเขาเลย

ปรากฏว่าทันทีที่น้องเปิดประตูโผล่หน้ามาดูฉัน และแลเห็นหญิงสูงวัยคนดังกล่าว เธอถึงกับทำตาโต มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เอาแต่ด่าน้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย และยืนด่านานนับชั่วโมงโดยที่น้องไม่ปริปากตอบโต้เลยสักคำ

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

บทสรุปคือ เธอไปแย่งสามีหญิงสูงวัยคนดังกล่าวมาจริง โดยฝ่ายชายมาแอบเช่าบ้านหลังนี้ให้น้องคนนี้อยู่

ตกลงเมื่อฝ่ายภรรยาหลวงขับรถกลับ น้องคนนี้เอาแต่ปิดบ้านเก็บตัวเงียบ คาดว่าคงอับอายชาวบ้าน เนื่องจากเมียหลวงได้ประจานด่าอย่างหมดไส้หมดพุง ฉันเองยังนึกสงสารน้องอยู่เหมือนกัน จะกินอยู่อย่างไร และต่อไปจะทำอย่างไรกับชีวิต?

ระหว่างนี้ฉันได้ยินเสียงจักรโพ้งเย็บผ้าดังทั้งวันทั้งคืน…เธอคงเลือกที่ต้องมุงานหนักเพื่อให้คลายความทุกข์ใจ กระทั่งวันหนึ่งเป็นชายสูงวัยผู้ที่เคยมารับ-ส่งผ้าให้น้องคนนี้ทุกครั้ง โดยเขามาตะโกนเรียกชื่อน้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เมื่อฉันชะโงกหน้าออกไปคุย ยังบอกชายคนนี้ไปว่าน้องอยู่ในบ้านนั้นล่ะได้ยินเสียงจักรเดินเครื่องทั้งคืน

หากเช้าวันดังกล่าว…เขาเคาะประตูบ้าน เรียกเท่าไรก็ไม่ได้ซึ่งคำตอบ ทว่ารถยนต์ที่น้องขับอยู่ทุกวันคงจอดในโรงรถที่เดิม ท้ายที่สุดชายคนดังกล่าวตัดสินใจเรียกตำรวจ 191 ให้มาตรวจสอบจะดีที่สุด และจบลงด้วยการงัดบ้าน โดยการนี้ฉันได้เข้าบ้านอยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วย โดยภาพแรกที่เห็น ตัวจักรเย็บผ้าที่อยู่กลางตัวบ้านได้มีใยแมงมุมชักใยยาวเหยียด แต่อะไรไม่เท่าที่ตำรวจนายหนึ่งเดินเข้าไปเปิดประตูห้องน้ำก่อนกระเด้งตัวร้องเฮ้ย! ออกมาเสียงดัง

“ศพ ศพ คนตาย” ไม่มีใครเดินไปดูอันเนื่องจากกลิ่นที่โชยเตะจมูกกึ้ก

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิทยุแจ้งเหตุแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้มาชันสูตรพลิกศพ จากที่ฉันยืนฟังแพทย์เวรได้ระบุ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจดบันทึกประการ สำคัญนั้นอยู่ตรงที่

“ผู้ตายเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 72 ชั่วโมง” ฉันยืนคูณ หาร บวก ลบ คือเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน แล้วเสียงที่ดังจากการเย็บผ้ากลางดึกกลางคืนมาได้อย่างไรกัน แถบนี้มีน้องทำงานเย็บผ้าโหลอยู่หลังเดียวจริงๆ ส่วนที่ทำให้เพื่อนบ้านอย่างฉันนั้นเครียดหนักเข้าไปอีกเห็นจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของน้องคือ กินยาตายในห้องน้ำนั่นเอง น้องคนขายประกันชีวิตก็รายหนึ่งแล้ว และรายถัดมาได้เสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน ตายในสถานที่เดียวกัน ส่วนมูลเหตุของการพรากชีวิตตนก็คือ การไม่สมหวังในความรัก

จากเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฉันแอบคิด… เป็นไปได้ไหมที่ชีวิตคนเราที่เกิดมาได้ถูกลิขิตไว้หมดแล้ว เช่น คนที่มีอุปนิสัยคล้ายๆ กัน…มีการกระทำบางอย่างที่เหมือนกัน ก็จะต้องมาจากไปในลักษณะอย่างนี้ๆ

ชีวิตเหมือนมีผู้จัดสรรให้เสร็จสรรพ…และหากใครรู้ทันชีวิต รู้จักแก้ไขในข้อผิดพลาดตนเองก็อาจรอดพ้นจาก ‘บ่วง’ อันนี้ไปได้ สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่สร้างกรรมตัวนี้เพิ่มอีก

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. www.tuemaster.com, www.th.toluna.com, www.twitter.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •