18 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                คราวหนึ่ง ผู้เขียนลงไปที่เมืองเพชรบุรีเรื่องงานสำรวจกับเพื่อนๆ และแวะเที่ยวงานเพชรบุรีดีจัง…ทั้งถือโอกาสทำบุญและร่วมงานสนุกที่นั่นเสียหลายงาน ปรากฏว่าจากการได้เข้าพบผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านที่นั่นก็ทำให้รู้เรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและน่าสำรวจตรวจค้นอีกมากมาย

                หนึ่งในนั้นคือเรื่อง ตัวเหรา (อ่านว่า เห-รา) ที่คนในจังหวัดกว่า ๗๐ –๘๐ ปีมาแล้วร่ำลือกันไปต่างๆ นานา เรื่องราวของตัวเหรานั้นผู้เขียนเคยกล่าวถึงไปแล้วคราวเขียนเรื่อง สัตว์หิมพานต์ประดับรอบพระเมรุมาศ คราวออกงานพระเมรุฯ คราวโน้น เมื่อคราวงานสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ นานมาแล้ว ครั้งนั้นผู้เขียนอธิบายเรื่องสัตว์หิมพานต์ไว้โดยละเอียด ในที่นี้ขอยกมาเพียงสังเขปดังนี้

                ตามตำราโบราณ หรือหนังสือภาพไทยเก่าๆ พูดถึงสัตว์หิมพานต์ไว้ว่า สัตว์หิมพานต์นั้นเป็นสัตว์ในจินตนาการที่มีลักษณะเฉพาะตามแต่คนโบราณจะจินตนาการเอาไว้ เพราะเป็นสัตว์ที่มีอยู่แต่เฉพาะในป่าหิมพานต์ ที่อยู่ตีนเขาพระสุเมรุนั่นเอง ดังนั้น ลักษณะภายนอกของสัตว์ทุกประเภทจึงไม่เหมือนสัตว์ในสามภพ (นรกภูมิ โลกมนุษย์ และสวรรค์) ดังนั้นลักษณะของเหล่าสัตว์จึงพิลึกพิลั่นสุดจะบรรยาย เนื่องจากป่าหิมพานต์เป็นป่าที่มีลักษณะพิเศษ ไม่เหมือนป่าที่ไหนในจักรวาลไตรภูมิ ด้วยความเป็นป่าพิเศษ ดังนั้นสัตว์ที่อยู่ในป่าแห่งนั้นจึงมีความพิเศษตามป่าไปด้วย

                สัตว์หิมพานต์เป็นสัตว์แห่งจินตนาการและการมีอยู่ของ “ความไม่มีอยู่จริง” ดังนั้นลักษณะจริงๆ ของสัตว์เหล่านั้นจึงมีทั้งจริงและไม่จริงผสมปนเปกันไปหมด อยากให้ช้างอยู่ในน้ำก็เอาช้างปนกับปลา อยากให้ม้าหรือสิงห์บินได้ ก็เอาปนกับนกหรือปักษี อยากให้สัตว์อะไรทำอะไรได้ ก็เอาสัตว์สองอย่างมาปนเปกันจนเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่มีที่ไหน มีแต่ในงานจิตรกรรม โดยมักจะพบเห็นได้ก็จากจิตรกรรมฝาผนังชุดรามเกียรติ์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และในงานจิตรกรรมอื่นๆ ที่อิงเน้นทางพุทธศาสนา และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลไตรภูมิก็มักจะมีเรื่องราวของป่าหิมพานต์มาข้องเกี่ยวด้วยเสมอๆ

                อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะถามว่า แล้วสัตว์หิมพานต์ประดับพระเมรุมาศมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องขอเรียนไว้ว่า…ที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อกว่า ๘๐ ปีมาแล้ว มีพรานและคนหาของป่า และพวกลาวโซ่ง พูดกันให้เกร่อว่าได้พบสัตว์หน้าตาประหลาด ไม่เหมือนตัวอะไรที่เคยเห็นบนป่าเขาพะเนินทุ่ง ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนได้ฟังมาจากอาจารย์จันทน์ เพทายกุล ท่านเป็นอาจารย์ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง ซึ่งวันที่ผู้เขียนไปทำบุญที่นั่นได้พบท่านที่เป็นเพื่อนกับพี่สาวแฟนของผู้เขียน อ.จันทน์ ท่านเล่าถึงเรื่องเก่าๆ ที่เป็นที่มาที่ไปแห่งเรื่องตัวเหราบนเขาพะเนินทุ่งว่า

                ในราวปี พ.ศ. ๒๔๗๐ (เก้าสิบสี่ปีมาแล้ว นับถึง พ.ศ. ๒๕๖๔ ) ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นานนัก กลับมีเรื่องราวแปลกๆ ดังขึ้นที่อำเภอบ้านลาด อำเภอท่ายาง และอำเภอละแวกนั้น โดยเฉพาะอำเภอที่อยู่รายรอบเขาพะเนินทุ่ง…อาจารย์จันทน์ ท่านบอกว่า “สมัยนั้น ผมยังเด็กมาก ไม่รู้ความหรอก แต่มารู้เรื่องนี้ก็จากคุณตาท่านเล่าให้ฟัง ท่านว่าท่านอยู่กับคุณตาคุณยายมาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อคุณแม่ของท่านมีอาชีพค้าขาย ต้องเดินทางไปนั่นนี่อยู่เรื่อยๆ และทิ้งท่านไว้กับคุณตาคุณยาย ดังนั้นเรื่องเก่าๆ แปลกๆ คุณตาคุณยายของท่านจึงเล่าให้ท่านฟังอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องตัวเหราที่ว่านี้ด้วย…”

                ท่านว่า คุณตาเล่าให้ท่านฟังในคืนวันหนึ่ง ท่านยังจำบรรยากาศในคืนนั้นได้…มันค่อนข้างร้อนอบอ้าวจนคุณตาคุณยายต้องพาท่านมานอนกางมุ้งที่ระเบียงชั้นบน และท่านเล่าว่า…เมื่อหลายวันก่อนมีคนพบตัวเหราบนเขาพะเนินฯ ท่านก็ซักถามว่าตัวเหรามันคืออะไร คุณตาคุณยายก็อธิบายว่า ตัวเหรามันเป็นสัตว์หิมพานต์ที่มีอยู่ในป่าลึก ปกติมันจะไม่ออกมา ต้องมีคนที่บำเพ็ญเพียรภาวนาหรือมีบุญญาธิการแก่กล้าเท่านั้นแหละถึงจะพบมันได้…มันมีอยู่แต่ในป่าหิมพานต์ที่อยู่ลึกและยากที่จะเดินทางเข้าไป พรานไหนๆ ก็ยากที่จะเข้าไปได้ นอกจากคนที่โชคดี หรือพระสงฆ์องค์เจ้าที่คงแก่วิชาอาคมเท่านั้นจึงจะไปได้ แต่ว่าวันก่อนแกได้คุยกับพรานปุ่น แกว่าแกเข้าไปในป่าหิมพานต์แล้วรอดตายออกมาได้…คุณตาท่านว่าอย่างนั้น

                อ.จันทน์ท่านว่า…พรานปุ่นบอกว่าแกเดินป่าและหลงอยู่สามวัน เหตุเพราะฝนตกหนัก หาทางออกไม่ได้ แต่แกยิ่งเดินป่ามันก็ยิ่งแปลกออกไปทุกทีๆ ต้นไม้ใบหญ้าก็เริ่มไม่คุ้นตา พรานปุ่นว่าอย่างนั้น แกเริ่มงุนงงว่าแกหลงมาที่ป่าแห่งไหน เพราะทั้งต้นไม้ ลำธาร นก และสัตว์ต่างๆ มันเริ่มดูแปลกพิสดารเหลือเกิน

                แรกๆ แกสังเกตเห็นต้นไม้ก่อน มันเป็นไม้ที่แปลกตาหลายชนิด บางต้นมีรากสูงเหมือนลำต้น และมีต้นอยู่ตอนปลาย แกแวะที่ลำธารก็แปลกใจที่มีผลไม้อยู่ในน้ำ…ใกล้ๆ กันก็ปลา แต่ปลาแหวกว่ายอยู่บนหาดทรายริมลำธาร…แกว่าแกไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทำไมที่นี่ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด ผลไม้อยู่ในน้ำ ปลาอยู่ในทราย เห็นสัตว์บางอย่างบินในอากาศแต่ไม่ใช่นก เพราะนกอยู่ในน้ำ แกขยี้ตาและไม่เชื่อสายตาตัวเอง กับความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งบอกแกว่า…รึว่าแกตายแล้ว แล้วสถานที่นี้คือสวรรค์

                แกยังเดินต่อ หลังจากแวะดื่มน้ำที่ลำธารที่มีรสหวานเหมือนผลไม้เข้าไป แกเดินเข้าป่าไปลึกเรื่อยๆ ก็พบความแปลกมหัศจรรย์มากเข้าไปทุกทีๆ แกพบน้ำตกที่มีแต่นางไม้หรือผู้หญิงสาวที่มีกายอ้อนแอ้น ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่กำลังขับกล่อมเล่นดนตรีอยู่อย่างสนุกสนาน แกว่านางไม้หรือผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้นุ่งห่มอะไรเลย แต่ไม่มีใครขวยอายหรืออย่างไร มันเหมือนเป็นเรื่องปกติ แกพบสัตว์แปลกๆ สีสันฉูดฉาดอีกหลายอย่าง แต่ก็บอกไม่ได้ว่าตัวอะไร…มันเหมือนนกก็เหมือน เหมือนม้าก็ด้วย…บอกไม่ถูก บางตัวหน้าเหมือนเสือแต่ตัวเหมือนม้าก็มี แกว่าแกกลัวมาก…นี่มันป่าที่ไหนกันแน่…แกหลงมาที่นี่ได้อย่างไร???

                แกตัดสินใจเดินไปอีกทาง คราวนี้เป็นป่าโปร่งๆ มีกลิ่นหอมเย็น มีลมเย็นโชยมา แกเดินตามกลิ่นที่ว่านั้น แกว่ากลิ่นมันเหมือนผลไม้บางอย่างสุก หอมแปลกๆ แกเดินเข้ามาจนถึงสถานที่ที่มีกลิ่นหอมนั้นก็พบว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ ใต้ต้นไม้มีลูกไม้แปลกๆ เหมือนฟักแฟง หรือแตงไทยห้อยอยู่เต็มไปหมด แกเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ว่าลูกอะไรถึงหอมนัก ปรากฏลูกไม้เหล่านั้นไม่ใช่ผลไม้ แต่ทว่ากลับเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ รูปร่างเหมือนผลไม้ แต่ก็ดูออกว่าเป็นผู้หญิง แกงุนงงมาก…รึว่านี่คือนารีผลที่เขาว่ากัน

                แกยังไม่ทันทำอะไรก็มีเสียงคนเดินมาทางนี้ สักครู่ก็มีฤษีชีไพรสามสี่คนปรากฏกายออกมา มาถึงก็ตรงเข้าไปที่ต้นไม้นั้นแล้วเลือกผลไม้รูปหญิงสาวไปคนละผล แล้วก็ปลิดออกมา ทั้งพาเอาผลไม้รูปคนนั้นติดตัวไปด้วย พรานปุ่นยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่…พอดีหนึ่งในฤษีหันมาเห็นแกเข้าก็ถามว่า “เจ้าล่ะ มัวแต่ดู มาถึงก่อนแท้ๆ ไม่เลือกไปบ้างรึ” พรานปุ่นก็ได้แต่พยักหน้าอือๆ ออๆ แล้วแกก็ลองไปเด็ดผลไม้นั่นบ้าง พอแกเด็ดออกมาก็เอาผลไม้นั้นมานั่งดู ก็พบว่าเหมือนผู้หญิงจริงๆ มาก อวัยวะทุกอย่างมีเหมือนหมด เพียงแต่ผิวพวกนางเหมือนผลไม้เท่านั้น คือเรียบเนียนเหมือนผลมะปราง

                แกเริ่มงงว่านี่คืออะไร? แกว่าแกอยู่ที่ไหน แล้วจะออกไปได้อย่างไร ก็พอดีแกหิวเสียก่อน เลยจะหาอะไรทาน แกเอาผลไม้รูปผู้หญิงวางทิ้งไว้แล้วไปหาผลไม้ป่าว่าอะไรทานได้ ก็ไปพบต้นทับทิมป่าเข้า แกดีใจมาก ทับทิมก็ยังดี เลยคว้าเด็ดมาสี่ห้าผลหวังกินทับทิม แกเอากลับมาที่แกวางผลไม้รูปผู้หญิงเอาไว้ แกว่าแกนั่งแกะทับทิมและกินทับทิม พอเอาเข้าปากก็พบว่าผลทับทิมนั้นทั้งหอมทั้งหวาน ทานแล้วรู้สึกเคลิ้มและมีความสุข เสียแต่เมล็ดทับทิมนั้นแข็งมาก แกคายเมล็ดออกมาดูก็พบว่าเมล็ดทับทิมนั้นแปลกๆ มันใสและแข็งมาก ทุกทีเมล็ดทับทิมจะไม่แข็งแบบนี้ แกเลยเอาเมล็ดห่อกระดาษใส่ย่ามเอาไว้ แล้วทานต่อไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าทั้งลูกมีเมล็ดแข็งๆ อยู่เพียง ๔-๕ เมล็ดเท่านั้น กำลังทานลูกที่สองก็พอดีมีพระภิกษุรูปหนึ่งผ่านมา พรานปุ่นก็นิมนต์และถวายผลทับทิม

                ระหว่างที่นิมนต์หลวงพ่อ และท่านฉันทับทิม พรานปุ่นก็เล่าถึงเรื่องที่หลงเข้ามาแล้วหาทางกลับไม่ได้ ทั้งสงสัยว่าป่าที่นี่มันคือที่ไหน หรือแกตายแล้ว นี่เป็นสวรรค์กันแน่ หลวงพ่อท่านยิ้มๆ แล้วก็ว่า “โยมคิดว่าที่นี่เป็นที่ไหนก็ที่นั่นแหละ” แล้วท่านก็หัวเราะพลางบอกว่า “หากโยมอยากออกจากที่นี่ เดี๋ยวก็ตามอาตมามาแล้วกัน” พอท่านฉันเสร็จ ท่านก็คายเมล็ดทับทิมส่งมาให้พรานปุ่นอีกห้าหกเมล็ดพลางบอกว่า “ไว้โยมกลับไปได้แล้วค่อยเอาเมล็ดทับทิมในกระดาษออกมาแกะดูนะ” พรานปุ่นรับคำ หลังจากหลวงพ่อกรวดน้ำ สวดยถาสัพพีแล้ว ท่านก็ออกเดินทาง โดยให้พรานปุ่นตามท่านไป พรานปุ่นไม่ลืมหยิบผลไม้รูปผู้หญิงนั้นมาด้วย

                เดินราวครึ่งวัน พรานปุ่นและหลวงพ่อก็ออกมาจากป่าแปลกๆ นั้นได้ ท่านบอกกับพรานปุ่นว่า “เอาละ อาตมาส่งโยมได้เท่านี้ ส่วนอาตมาต้องกลับเข้าไปอีก เพราะคืนนี้อาตมารับนิมนต์ว่าจะเทศน์ให้พวกในป่านั่นเขาฟัง” แล้วท่านก็ลุกขึ้น พรานปุ่นก้มลงกราบ ท่านก็ว่า “บุญรักษานะโยม” แล้วท่านก็กลับเข้าป่าไปอีก

                พรานปุ่นกลับมาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังแต่ไม่มีใครเชื่อเลย ส่วนผลไม้รูปผู้หญิงนั้น พอออกพ้นป่ามันก็เหี่ยวแห้งหมดรูปจนเหมือนผลไม้ตากแห้งมากกว่า แกนึกถึงเมล็ดทับทิม พอเอาออกมาก็พบว่ามันได้กลายเป็น “เพชรทับทิม” แต่ถึงอย่างนี้ ทุกคนก็ยังไม่เชื่อแกอีก หาว่าแกไปพบเหมืองพลอยแล้วไม่ยอมบอกใคร แกก็ว่าไม่ใช่ พลางเล่าเรื่องให้ฟังแต่ก็ไม่มีใครยอมเชื่อ เมื่อไม่มีใครเชื่อ พรานปุ่นก็หาทางพิสูจน์โดยจะกลับไปยังสถานที่นั้นอีกครั้ง…

                มีพรานอื่นเห็นแกเดินหาทางเข้าป่าอยู่หลายวัน แล้วจากนั้นพรานปุ่นก็หายตัวไปและไม่กลับมาที่นี่อีกเลย วันนั้น อ.จันทน์จบเรื่องของพรานปุ่นกับตัวเหราที่เขาพะเนินทุ่งไว้เพียงเท่านั้นเอง

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา

ภาพโดย. จุติ จันทร์คณา, en.wiktionary.org, noraydesigns.com, luxus-plus.com, www.technologynetworks.com, www.rei.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •