19 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

หวานเป็นลม ขมเป็นยาโบราณว่า แต่ถ้าพูดถึงยามหัศจรรย์แก้ได้สารพัดโรค ก็คงไม่มีสิ่งใดออกฤทธิ์แรงเกินกว่าเนื้อของซากศพ จากอดีตที่เรียกว่ามัมมี่อาจจัดอยู่ในเครือญาติเดียวกับยาผีบอก แต่ “ยามัมมี่บอก” มีบันทึกในประวัติศาสตร์มานานกว่า

วันนี้เราจะเปิดสูตรยาโบราณขนาน (พิสดาร) แท้กันอย่างละเอียด

ผ้าลินินที่ใช้ห่อมัมมี่

อียิปต์สมัยก่อน บรรดาโจรออกปล้นสะดมสุสาน เพื่อช่วงชิงทองคำและของมีค่าต่างๆ รวมถึงตัวมัมมี่ด้วย ผ้าลินินที่หุ้มห่อศพและมัมมี่ได้ถูกนำมาใช้ทำยาอย่างแพร่หลาย คำพูดดูถูกเชิงชายทำนองว่า “เอาไปทำยาไม่ได้” นำมาใช้กับมัมมี่ไม่ได้แน่ เนื่องจากมัมมี่กลายเป็นยาวิเศษที่ได้รับความนิยมทั่วยุโรปจนติดอันดับขายดีอยู่หลายศตวรรษ

ในยุคหนึ่ง ตัวยาจากมัมมี่ถือเป็นแฟชั่นทันสมัยเลยทีเดียว บรรดาคนชั้นสูงมักห้อยถุงเล็กบรรจุผงมัมมี่ไว้กับเสื้อผ้าเวลาไปไหนมาไหน ดังเช่น พระเจ้าฟรานอยส์ที่ 1 ของฝรั่งเศสทรงม้าพร้อมด้วยถุงหนังใส่ผงมัมมี่แขวนติดกับอานทุกครั้ง โอเธลโล ตัวละครของเชกสเปียร์พกผ้าเช็ดหน้าที่ทำด้วย “ผ้าพันมัมมี่ของสตรีสาวพรหมจรรย์” สรรพคุณของมัมมี่มีมากบรรยายไม่หมด เชื่อกันว่าสามารถป้องกันและปราบสารพัด แถมยังช่วยถอนพิษยา

วัตถุดิบยาจากมัมมี่

มัมมี่มีชื่ออยู่ในเภสัชตำรับอย่างเป็นทางการ และมีจำหน่ายตามร้านขายยาเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 18 แม้ล่วงเข้าปี ค.ศ.1908 ผู้คนยังคงสั่งซื้อวัตถุดิบจากซากศพนี้ได้จากแค็ตตาล็อกยาของบริษัท อี.เมิร์ค ซึ่งโฆษณาว่า “มัมมี่อียิปต์ของแท้ 17.50 มาร์คต่อหนึ่งกิโลกรัม” แพทย์สมัยนั้นต่างไม่ได้เห็นดีด้วยเสียทุกคน ร็อบ พิทท์ เขียนไว้ว่า “ควรถูกระงับใช้เพราะทั้งน่าขยะแขยง ทั้งเป็นการรักษาแบบผิดแผน…” ในลักษณะเดียวกับการใช้หนอนปอดสุนัขจิ้งจอกตากแห้งและสูตรยาพิสดารอื่นๆ ซึ่งเป็นที่นิยมกัน แอมบรอยซี พาร์ ศัลยแพทย์ในศตวรรษที่ 16 ให้คำแนะนำไว้ในงานเขียนของเขา “ยาเลวๆ ประเภทนี้ไม่ได้ช่วยรักษาโรคได้เลย…แต่กลับก่อให้เกิดอาการอื่นๆ ตามมา ว่าไปก็เกือบจะจริงตามที่คุณหมอว่า แรกเริ่มมีการใช้เนื้อมัมมี่อียิปต์ซึ่งสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ที่ขายกันมักจะเป็นเนื้อเน่าๆ จากซากศพ คนหรือสัตว์ทั่วไป ซึ่งอาจตายด้วยโรคติดต่อสารพัดชนิด จึงมีบ้างที่มันอาจส่งผลถึงตาย

สารสีดำจากยางแอสฟัลท์

จริงๆแล้วการนำมัมมี่มาทำยามาจากความเข้าใจผิด โดยชาวเปอร์เซียโบราณปรุงยาโดยใช้สารสีดำจากยางแอสฟัลท์เรียกว่า “มัมเมีย” ซึ่งไหลซึมออกมาจากภูเขา ชาวกรีกก็รู้เหมือนกัน แต่ดันรู้ดีเกินไป เพราะคิดว่าเป็นสารเดียวกับที่ชาวอียิปต์ใช้รักษาสภาพศพ ซึ่งไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ตามชื่อ “มัมเมีย” ก็ติดหูติดปากไปเสียแล้ว ซากศพที่ไม่เน่าเปื่อยของอียิปต์จึงได้รับการขนานนามติดตัวไปว่า “มัมมี่”

เมื่อต้นแหล่งของมัมเมียแห้งเหือดไป ทางออกที่เห็นได้ชัด คือ เข้าไปปล้นเอาจากมัมมี่อียิปต์ ธุรกิจหากินกับคนตายจึงเริ่มขึ้นนับแต่นั้น สุดท้ายกลายเป็นว่าสารสำหรับรักษาสภาพศพมัมมี่กลับหมดความหมาย เนื้อหนังมังสาของมัมมี่ที่สะดุดตาขึ้นมา ทำให้คนหลงคิดว่ามีฤทธิ์ปราบโรค ระยะหลังแม้แต่สายสัมพันธ์โยงใยกับอียิปต์ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ซากศพจากที่ไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น ขอให้ไม่มีลมหายใจเป็นพอ ปกติผู้บริโภคมักจะไม่เสพเนื้อศพกันสดๆ แต่ต้องหาทางผสมกับเครื่องปรุงอื่นๆ ด้วยการดูดเลือดสดๆ จากแผลมีมาตั้งแต่สมัยกรีกแล้ว เช่นเดียวกับการรักษาโรคด้วยวิธีกินเนื้อมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ตามที่ระบุในหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมชาติของไพลนี บันทึกในอดีตยังเต็มไปด้วยเรื่องของบรรดาเพชฌฆาตที่ต่างแอบหาลำไพ่ด้วยการลอบขายเลือดและไขมันมนุษย์ โดยส่งตรงจากแท่นสังหารเลยทีเดียว

ลูกค้าที่กำลังมองหามัมมี่ดีๆ สักตัวมาทำยา จะได้รับคำแนะนำให้เลือกสรรซากศพที่มี “ผิวชุ่มฉ่ำด้วยยางเรซิ่น หนังหนาและเป็นสีดำมันปลาบ” และ “กลิ่นต้องหอมฉุน รสขมแสบร้อนรุนแรง” ควรระวังอย่าได้ซื้อหามัมมี่ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วย “กระดูกหรือดินสกปรก” และส่งกลิ่นเหม็นน้ำมันเมื่อนำมาเผา  ตำรับยาขนานคลาสสิกที่สืบทอดมาจากออสวัลด์ ครอลล์ ตั้งแต่ตั้งศตวรรษที่ 17 มีดังนี้

มัมมี่

“นำเอาเนื้อจากศพที่มีอายุ 24 ปี ผมสีแดงไม่ได้เป็นโรคร้ายใดๆ และต้องเสียชีวิตมาก่อนไม่เกินหนึ่งวัน ถ้าจะให้ดีควรหาศพที่เสียชีวิตจากการแขวนคอ หรือประสบอุบัติเหตุทางรถหรือโดนแทง…เมื่อได้ศพมาแล้วให้ปล่อยทิ้งไว้หนึ่งวันหนึ่งคืน ท่ามกลางแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ จากนั้นก็แล่เนื้อออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือเป็นชิ้นยาวๆ โรยหน้าด้วยผงจากยางไม้เมอร์เพื่อไม่ให้มีรสขมเกินไป”

ตำรับยาส่วนใหญ่ระบุคุณสมบัติของศพว่า จะต้องตายอย่างสะอาดและเฉียบพลัน ซากศพอันเป็นที่หมายปองที่สุดในโลก ก็คือพวกที่ขาดอากาศตายกะทันหันกลางพายุทรายในซาฮารา แต่ว่าศพดีๆ ก็เช่นเดียวกับคนดีๆ นั่นแหละ ย่อมหายากไม่ต่างจากการงมเข็มในทะเลทราย ดังนั้น ถ้าหาศพที่แสนเลิศขนาดนั้นไม่เจอ นักโทษประหารก็คงพอแทนกันได้ แม้พวกนี้จะมีชีวิตที่สกปรกและด่างพร้อยอยู่สักหน่อยจนต้องถูกกำจัดไปจากโลกก็เถอะ

ตำรายาของครอลล์บอกต่อไปว่า “แช่เนื้อศพลงในไวน์เป็นเวลา 7 วัน จากนั้นนำเนื้อมาตากแดดแล้วใช้ไวน์ช่วยให้เนื้อมีสีแดงคืนมาอีกครั้ง เนื่องจากความสกปรกเน่าเหม็นของมันก่อให้เกิดความชื้นอันสุดทานทนแก่กระเพาะ เป็นการดีที่จะแช่มัมมี่ลงในน้ำมันมะกอกต่ออีกสักเดือน ทีนี้ก็จะได้น้ำมันที่มีส่วนผสมของมัมมี่ ก่อนคลุกเคล้ามัมมี่เข้ากับยาแก้พิษ” สารที่สกัดจากมัมมี่-น้ำตาลตกผลึก 0.5 ปอนด์, น้ำมันมะกอกผสมมัมมี่ 4 ออนซ์, ขี้เกลือขาวสะอาด 2 ออนซ์, ผงคลีดิน (เต็มไปด้วยน้ำมันช่วยสมานแผล) 2 แดรกมา (ราว 8 กรัม) “ยาแก้พิษของมัมมี่” ชนิดนี้ช่วยถอนพิษ และเอาไว้กินทุกๆ วัน วันละนิดเพื่อป้องกันโรค

นิโคลาส เลอ เฟฟเร มีสูตร “น้ำมันหอมจากมัมมี่” โดยใช้น้ำมันมะกอก

“เริ่มแรกให้ตัดกล้ามเนื้อจาก ‘ร่างของชายหนุ่มที่สมบูรณ์แข็งแรง’ แช่ลงในไวน์และแขวนไว้ในที่แห้ง  ถ้าอากาศชื้นหรือมีฝนตก ต้องเอาเนื้อเหล่านี้ไปแขวนไว้ในปล่องไฟ และทุกๆ วันรมด้วยไฟจากไม้สนจำพวกจูนิเปอร์ ซึ่งต้องมีทั้งใบและผลสีม่วงของมัน จนกระทั่งเนื้อแห้งดีเหมือนกับเนื้อวัวบด ที่บรรดากะลาสีเรือใช้เป็นเสบียงในการเดินทางระยะยาว”

สูตรยาหอมหวนจรุงใจ

ตำราของทางการเภสัช มีสูตรยาหลายขนานที่ปรุงจากมัมมี่ หรือส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ ตำราเภสัชฉบับ 1682 ของ Pharmacopeia Londinensis มีสูตรยาแก้โรคลมบ้าหมู โดยใช้ “กะโหลก” ต้มในน้ำเดือดด้วยการใส่กะโหลกพร้อมด้วยใบต้นสนจูนิเปอร์หรือหญ้าหางหนู…ลงในหม้อที่ตั้งไฟอ่อนๆ เป็นเวลา 15 วัน จากนั้นให้กรองออกจนเหลือแต่ของเหลวสีแดง กรองอีกครั้ง และละลายในบัลนีโอวาโพริส พร้อมกับใส่น้ำผึ้งให้เข็มข้น”

สำหรับสูตรยาหอมหวนจรุงใจนั้นมีดังนี้

“ควักสมองของชายหนุ่มออกมาพร้อมกับเยื่อบุผิว, เส้นโลหิตแดง, เส้นโลหิตดำ และเส้นประสาท พร้อมทั้งเนื้อเยื่อไขมันในโพรงกระดูก ยีเข้าด้วยกันและเติมกลิ่นของดอกไม้นานาพรรณ อันได้แก่ ดอกลาเวนเดอร์, ลิลลี, เมย์ฟลาวเวอร์, เคี่ยวต้มให้เข้ากันแล้วกลั่นออกมา”

ส่วนประกอบที่เพิ่มขึ้นมา เพื่อเติมกลิ่นหอมหวนและชวนให้ไม่รู้สึกแสยงหูเกินไปใช่ว่าจะพบเห็นได้ง่ายๆ สูตร “ยาหม่องพิเศษ” นั้นมีเครื่องปรุง อาทิ ดินเหนียว, น้ำมันกุหลาบ, ไขมันมนุษย์, เลือดมนุษย์, มัมมี่ และ “กะโหลกปกคลุมด้วยมอสส์” ราสีเขียวที่ขัดถูมาจากกะโหลกอันเก่า กะโหลกกะลา จากนั้น ใช้มัมมี่ เลือด ต้นมอสส์และดินเหนียวนำไปตากแห้งและบดเป็นผง เติมไขมันและน้ำมันลงไป และตั้งไว้บนไฟอ่อนๆ จนกระทั่งได้ “ยาขี้ผึ้ง” ขึ้นมา

ไขมันมนุษย์มีประโยชน์พอๆ กับกระดูกและเนื้อ มันสร้างความชุ่มชื่นแก่ผิวที่เหี่ยวแห้ง ช่วยสมานแผลและเสริมกำลังวังชาให้เส้นเอ็น เพื่อปรุงสูตรยาง่ายๆ สูตรนี้ สิ่งที่เภสัชกรจะต้องทำคือ “ตัดไขมันออกและต้มในไวน์ขาวจนกระทั่งไขมันชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านั้นนุ่มได้ที่ และความชุ่มฉ่ำของไวน์หมดไป จากนั้นใช้แผ่นดีบุกร้อนๆ สองแผ่นบดให้เละเสียก่อนแล้วจึงเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป”

มัมมี่นก

มัมมี่ไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์เสมอไป มีการใช้สูตรยาปรุงจากมัมมี่นกไว้แก้โรคลมบ้าหมู จับนกปีกลายสก็อตมาหนึ่งตัว ถอนขนทิ้งให้หมด ยัดยี่หร่าจนเต็มกระเพาะ แล้วนำเจ้านกเข้าเตาอบ จนกระทั่งกลายสภาพเป็นมัมมี่ นำออกมาบดพร้อมกับเมล็ดและทุกอย่างซึ่งจะกลายเป็นตัวยาเลิศฤทธิ์”

ยาที่ได้รับการชื่นชมยกย่องว่าเป็น “ยามหัศจรรย์” ของศตวรรษที่ 16 มาจากต้นตำรับของพาราเซลซุส โดยการสร้างมัมมี่จากเนื้อศพจริงๆ และวิธีเนรมิต “วิญญาณ” มัมมี่ การสร้างวิญญาณมัมมี่ ฟังดูเป็นความคิดที่ล่องลอยจับต้องไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องติดดินมาก เนื่องจากสารต่างๆ นั้นสกัดมาจากเหงื่อและอุจจาระ ของเสียเหล่านี้ถูกนำมาตากแห้งโดยไม่ให้ต้องแสงอาทิตย์ เพื่อจะดึง “รัศมี” หรือ “ลำแสง” ของวิญญาณออกมาจากร่างกาย รัศมีดังกล่าวมีพลังในการรังสรรค์เทียบเท่ากับสเปิร์ม หรือแม่เหล็กเลยทีเดียว แค่เอามัมมี่ในรูปของวิญญาณนี้ทาถูบนผิวหนังก็พอ หรืออาจเอาไปฝังลงดินในกระถางต้นไม้เพื่อจะได้ส่งถ่ายอำนาจของมันไปสู่กิ่งก้านใบของต้นสมุนไพรที่ปลูกอยู่ สมุนไพรเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้แก่มัมมี่ โดยเสริม “คุณลักษณะทางการแพร่พันธุ์” เข้าไป มัมมี่ชนิดนี้ไม่เพียงแต่รักษาโรคได้เท่านั้น แต่ยังเสริมพลังทางเพศในคู่สามีภรรยาที่เย็นชาห่างเหินกัน

ฤทธิ์ยามัมมี่จะทวีขึ้นอีกมากมายหากนำมาผสมเข้ากับร่างมนุษย์ที่ถูกนำมาบูชายัญ เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวคริสต์ พระเยซูทรงมอบชีวิตและเลือดของพระองค์ให้บรรดาสาวกดื่มเพื่อเป็น “ยา” รักษาความทุกข์แก่มวลหมู่มนุษย์ ในส่วนอื่นๆ ของโลกก็มีประเพณีเกี่ยวกับการพลีชีพด้วยความสมัครใจ เพื่อนำไปทำยา ในบันทึกประวัติศาสตร์จีนบันทึกไว้ว่า

“…ในอาระเบีย มีชายแก่อายุประมาณ 70-80 ปี ซึ่งพร้อมพลีชีพเพื่อรักษาชีวิตคนอื่น เขาจะไม่กินอาหาร เพียงแต่อาบน้ำและดื่มน้ำผึ้ง หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เขาจะถ่ายแต่น้ำผึ้งออกมา (ทั้งปัสสาวะและอุจจาระ ประกอบด้วยน้ำผึ้งล้วนๆ) และความตายก็จะมาเอาตัวไป ผู้คนนำศพเขาไปวางในโลงหินที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้ง แล้วบันทึกวันเดือนปี

หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปีจึงเปิดฝาโลงออก กองน้ำตาลก็ก่อตัวเต็มไปหมดและถูกนำไปใช้รักษากระดูกหักและบาดแผล นั่นเป็นตำรายาจากมัมมี่ที่ใช้รักษาโรคได้ชะงัดนัก จริงเท็จอย่างไรท่านต้องพิสูจน์เอง

เรื่องโดย. ทิวากร สุวพานิช

ภาพโดย. www.albawaba.com, vhpharmacyrx.com, www.indiamart.com, www.the-scientist.com, commons.wikimedia.org, aeon.co, flipboard.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •