19 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

            คำว่า 4 Horsemen of the Apocalypse มาจากตำนานบันทึกของศาสนาคริสต์ถึงวันพิพากษาโลก และก่อนจะถึงวันนั้น จะมีผู้ส่งสารมาแจ้งเตือนมนุษย์ก่อน สารนั้นจะถูกส่งมาในรูปแบบต่างๆ กันไป จากนั้นจึงทำการเปิดผนึกดวงตราทั้ง 7 เปิดครบเมื่อไรโลกก็ถึงกาลอวสาน

            ตราที่เปิดจะแสดงถึงลางแห่งความตายทั้งสิ้น ที่สาหัสสุดๆ ก็คือสี่จตุรอาชาที่มีแต่ความน่าสะพรึงกลัว ผู้ที่เปิดผนึกดวงตราอันเป็นสัญญาณบอกวันเวลาสิ้นสุดของโลกมาเยือนแล้วก็คือพระเจ้า พระองค์จะเปิดผนึกออกทีละดวงแล้วนำสี่จตุรอาชาส่งออกมายังโลก แต่มากันทีละตัว

            สี่จตุรอาชาเปรียบได้ดั่งยมทูตแห่งความตาย และนำหายนะความวิบัติทั้งปวงมาสู่โลก แต่ละตัวสุดแสบแซ่บสุดๆ รู้เอาไว้เผื่อวันนั้นเราอาจมีชีวิตอยู่ได้เห็น 1 ใน 4 จตุรอาชาก็เป็นได้ เมื่อรู้และเข้าใจก็จะได้ทำใจว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่วันพิพากษาสิ้นโลก หนีก็ไม่พ้น มีทางเดียวคือต้องหมั่นเพียรสร้างบุญสร้างกุศลและกรรมดีให้มากๆ ยิ่งบุญบารมีที่ทำไว้มีมากกว่าบาป เราอาจตายก่อนถึงวันพิพากษา ตายอย่างสงบและได้ไปสวรรค์ ไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจ นั่งมองดูยมทูตแห่งความตายมาเยือนอย่างทุกข์ทรมาน

            อย่างที่เขาว่า โชคดีที่ตายก่อน เอาล่ะ…ทีนี้เรามาดูว่า 4 อาชาที่ว่าจะมีหน้าตาและความหมายอย่างไร ส่วนเหตุผลแห่งการทำลายโลกเป็นเพราะมนุษย์สิ้นศรัทธาต่อพระเจ้า และขยันสร้างบาปกรรม มัวเมาลุ่มหลงในอบายมุข ท่านก็มีเหตุผลที่จะจัดเก็บโลกใหม่ เพราะว่ามนุษย์ชอบทำตามใจตนเอง สร้างบาปกรรม ไม่เคารพนับถือในพระองค์ ไม่สนใจคำสั่งสอนของพระองค์ จึงตรัสสั่งแก่มีทารอนว่า

เรือโนอาห์

            “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราสร้างขึ้นมาให้สิ้นไปจากแผ่นดิน รวมถึงทุกสิ่ง ทั้งสัตว์เลื้อยคลาน นกในอากาศด้วย ” ในท่ามกลางมนุษย์ที่หลงผิดก็มีครอบครัวโนอาห์ที่ยังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าอยู่ พระองค์ทรงโปรดปราน แล้วส่งเทวทูตมาช่วยบอกทางรอดคือสร้างเรือ หลังจากที่พระเจ้าล้างโลกแล้ว ทรงทำพันธะสัญญากับโนอาห์ว่า

            “เราจะไม่ทำลายบรรดามนุษย์และสัตว์โดยใช้น้ำอีก เราจะตั้งสายรุ้งไว้ที่เมฆเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพันธะสัญญาระหว่างเรากับโลก” เรื่องราวก็เป็นอย่างที่เราพอทราบๆ กันมาบ้าง แต่ยังไม่จบ เพราะจะนำพาไปสู่ดวงตราทั้ง 7…ในพระคัมภีร์ยังกล่าวต่อว่า เมื่อบุตรชายของโนอาห์ มีลูก คืออับราฮัมกับโลท ทั้งสองมีคุณธรรมและเคารพศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาก

หอคอยบาเบล

            พวกเขาได้มาอาศัยอยู่ที่เมืองโซดอมและโกโมร่าห์ เมืองนี้เป็นเมืองคนบาปหนา ทำให้พระเจ้าโกรธและจะทำลายเมืองทั้งสองเสีย แต่ติดว่ามีผู้ศรัทธาในพระเจ้าถึงสองครอบครัว แต่พระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งพวกเขา จึงได้รับข่าวจากทูตสวรรค์สององค์มาบอกว่า…พระเจ้าจะทำการล้างเมืองโซดอมกับโกโมร่าห์ ครั้นเวลารุ่งสาง ทูตสวรรค์ทั้ง 2 ก็ได้พาโลทและครอบครัวให้หนีออกจากเมือง เวลาผ่านไปจนถึงยุคที่ทุกคนสื่อสารกันด้วยภาษาเดียวกัน แล้วสร้างหอคอยบาเบลขึ้น พอสร้างเสร็จได้ประกาศเป็นอิสระจากพระเจ้า และบอกไม่ให้เข้ามาแทรกแซงมนุษย์ พระเจ้าตรัสว่า “ต่อไปนี้มนุษย์อย่าพูดกันรู้เรื่อง” และทรงชี้นิ้วลงมาที่หอคอย เกิดสายฟ้าผ่าทำลายพัง (เป็นภาพสุดฮิตมากครับที่ปลายนิ้วมือพระเจ้าชี้ตรงมายังมือของมนุษย์ที่คล้ายวิงวอน)

            นับจากอับราฮัม-โซโลมอนรวม 14 ชั่วคน และนับจากเดวิดอีก14 ชั่วคน รวมเป็นรุ่นที่ 28 คือพระเยซู ในบันทึกได้กล่าวถึงดวงตราทั้ง 7 หรือ THE SEVEN SEALS ดวงตราทั้ง 7 จะถูกซ่อน ปิดผนึกและรอคอยการถูกเปิดออก เพราะเมื่อมีการเปิดผนึกดวงตราทั้ง 7 จะมีบุรุษลึกลับ 4 คน ขี่ม้า 4 ตัวที่มีลักษณะเหมือนสัตว์ประหลาด มีเสียงร้องดังดุจสายฟ้าร้อง พวกเขาคือสี่จตุรอาชา

            1. จตุรอาชาแห่งโรคระบาด (Pestilence หรือ Plague)

            พระคัมภีร์ระบุเอาไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ยินหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสี่กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเหมือนฟ้าร้องว่า “มาเถิด” ข้าพเจ้ามองไปเห็นม้าขาวตนหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ผู้ขี่ม้านี้ถือธนู เขาได้รับมงกุฎแล้วควบม้าไปอย่างผู้พิชิตที่ตั้งใจออกไปพิชิตศึก” 

            รายแรกขี่ม้ามาพร้อมกับโรคระบาด (Pestilence) ที่จะเกิดขึ้น โรคระบาดมีความรุนแรงมากและจะนำความทุกข์อย่างหนักหน่วงมาสู่มนุษยชาติ เชื้อโรคร้ายจะแพร่กระจายไปทั่ว ไปที่ไหนที่นั่นก็หายนะ มันปฏิบัติการทรมานมนุษย์จนถึงที่สุดแล้ว ไม่ช้าเกินไป จตุรอาชาคนที่สองก็ปรากฏขึ้นตามมาในเวลาไม่นานนัก เพื่อตอกย้ำความทุกข์ให้จมดิ่ง ปัจจุบันวิทยาศาสตร์และการแพทย์ของโลกล้ำไปไกล แต่เหมือนโรคใหม่ๆ จะผุดโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ตามทดสอบและผลิตยากันไม่ทันเหมือนกันนะ

            2. จตุรอาชาแห่งสงคราม (War)

            ในพระคัมภีร์ได้อธิบายไว้ว่า “เมื่อพระเมษทรงโปรดแกะดวงตราที่สอง ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สองกล่าวออกมาว่า “มาเถิด” แล้วม้าอีกตนที่มีสีแดงเพลิงก็ปรากฏออกมา ผู้ขี่ม้านี้ได้รับอำนาจที่จะนำสันติภาพไปจากโลก และทำให้มนุษย์เข่นฆ่ากัน”

            จากตำนานดังกล่าว จตุรอาชาแห่งสงครามจึงเป็นผู้นำสงครามมายังโลกมนุษย์ ยิ่งมาในช่วงที่ผู้คนตกยากลำบากล้มตายจากการแพร่กระจายของโรคไม่นานนั้น ก็ต้องถูกพิษแห่งสงครามซ้ำเติม ใจคนแค่เนื้อก้อนหนึ่ง เจอซ้ำๆ ย่อมจะทนไม่ไหว เมื่อรบรากันก็ต้องมีเสบียงมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ข้าวปลาอาหารก็หายากลำบาก เศรษฐกิจทรุดตั้งแต่โรคแพร่ระบาดรุนแรงคราวก่อนไปแล้ว

            การปล้นชิงและฆ่าก็เกิดขึ้น มันจะทวีความรุนแรงหนักขึ้น ซึ่งจากข้อนี้ สภาพในหลายประเทศก็ยังมีการรบกันอยู่ เป็นการรบเพื่อแย่งชิงดินแดนและแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ พวกก๊าซ น้ำมัน โดยข้ออ้างในการรบไม่ได้กล่าวถึงมหาสมบัติทางธรรมชาตินี้เลยครับ แต่ถ้าพูดถึงสงครามโลกครั้งที่1-2 ก็ผ่านมาแล้ว คนจึงมองไปยังสงครามโลกครั้งที่ 3 อันนี้ใกล้เข้าตัวมาแล้ว ระหว่างนี้ก็เป็นสงครามทางเศรษฐกิจโลกกันไปก่อน

            3. จตุรอาชาแห่งความอดอยาก (Famine)

            “เมื่อพระเมษทรงโปรดแกะดวงตราดวงที่สาม ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สามกล่าวขึ้นมาว่า “มาเถิด” ข้าพเจ้ามองเห็นม้าสีดำตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้า ผู้ขี่ม้านี้ชูตราขึ้นมา แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากสิ่งมีชีวิตนี้ว่า ข้าวสาลี ลิตรละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบาร์เลย์สามลิตรหนึ่งเดนาริอัน แต่อย่าทำให้น้ำมันและเหล้าองุ่นเสียหาย” นี่คือจตุรอาชาตนที่ 3 ตัวแทนของความอดอยาก

            เมื่อรบกันก็ต้องเกิดการสูญเสีย รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ ผลผลิตทางการเกษตร ทุกอย่างที่มนุษย์ต้องกินดำรงชีพ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังสงครามสิ้นสุดลง ความอดอยากก็คงดำรงอยู่ และเหมือนจะทวีความทุกข์ขมขื่นให้กับคนที่เหลือรอด เพราะอาหารจะยิ่งขาดแคลนและไม่อาจนำมากินได้เพราะไม่ปลอดภัย

            4. จตุรอาชาแห่งความตาย (Death)

            จตุรอาชาคนสุดท้ายนี้ทรงพลังมากที่สุดในบรรดาผู้ขี่ม้าทั้ง 4 ตน ในบันทึกได้กล่าวถึงเขาเอาไว้ว่า “เมื่อพระองค์ทรงแกะดวงตราที่สี่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงว่า “มาเถิด” ข้าพเจ้าเห็นม้าสีเขียวหม่นตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ผู้ขี่ม้านี้ชื่อว่าความตาย และความตาย”

            กล่าวได้ว่าจตุรอาชาคนนี้และม้าที่ขี่มาทรงพลังซึ่งความตายไว้อย่างเต็มเปี่ยม มีความดุดันน่ากลัวกว่าจตุรอาชา 3 ตนนั้น ตนนี้จะออกมาต่อเมื่อจตุรอาชา 1-3 อาละวาดทำลายล้างโลกเสร็จแล้ว บัดนั้นก็จะมีแต่ซากศพกองตายเป็นจำนวนมาก เขาคือผู้นำพาวิญญาณคนตายไป

            ในเชิงศาสนา พวกจตุรอาชาทั้ง 4 เป็นตัวแทนทางความเชื่อในเรื่องของโรคระบาด สงคราม ความอดอยาก และความตาย ทั้งสี่เหมือนจะต้องมาไล่ๆ กันเป็นระดับ หรือสเต็ปของมันอีกด้วย นี่คือความหมายของสี่จตุรอาชาอีกด้านหนึ่ง

            แต่ยังมีความหมายของตราทั้ง 7 และจตุรอาชาอีกแบบหนึ่งในบันทึกเดียวกัน จะเห็นถึงรายละเอียดการลำดับความพินาศ การเตือนให้มนุษย์รู้ก่อนล่วงหน้านั้น เราจะเห็นว่าการทำลายนั้นถูกกำหนดมาหลายพันปีแล้ว ทุกอย่างมีจังหวะเวลา ใครเข้าใจสารที่พระเจ้าส่งมาก่อนก็มีโอกาสสูงกว่าคนอื่น…

/

เรื่องโดย. กรุเก่า

ภาพโดย. brewminate.com, commons.wikimedia.org, AAA Game Art Studio / www.artstation.com, TaekwondoNJ / www.deviantart.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •