18 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                มนุษย์บางคนมักแสวงหาสิ่งต่างๆ อย่างไม่สิ้นสุดเพื่อสนองความต้องการ เพื่อตัวเอง…โดยบางครั้งไม่รู้เลยว่ากำลังก้าวเข้าไปในความสยดสยองที่ไม่อาจถอนตัวได้…นั่นคือ…คุณไสยหรือมนต์ดำ

                การประชุมสี่ภาคได้สิ้นสุดลง ฉันรู้สึกดีใจที่ยอดขายภาคของฉันทำได้อันดับหนึ่งจนผู้บริหารถึงกับเอ่ยปากชม “ภาค 2 ทำได้ดีมาก ยอดขายทะลุเกินเป้าเลย แต่ภาคอื่นพวกคุณก็ทำได้ดี แต่ควรดีมากขึ้นอีก โดยศึกษาดูการทำงานของภาค 2 เป็นตัวอย่าง ถ้าเราช่วยกัน สิ้นปีพวกคุณคงได้โบนัสอย่างงามแน่ๆ ผมรับรอง ขอปรบมือให้คุณ วรรณพรรณ หัวหน้าภาค 2 และหวังว่าไตรมาสหน้าการแข่งขันคงเข้มข้นขึ้นทุกภาคนะครับ”

                คำชมยังก้องในหูฉันอยู่เลย แม้จะเลิกประชุมไปนานแล้ว

                “หน้าบาน ยิ้มไม่ยอมหุบเลยหรือวรรณ กินลูกยอเข้าไป” เสียงแจ้วๆ ดังอยู่ข้างๆ ฉันหันไปมอง ยัยศรีนวลหัวหน้าภาค 4 ทำเสียงประชดประชัน ฉันเลยตอบกลับไป

                “แน่นอนเป็นธรรมดา…อิจฉาปะเนี่ยเธอ อุ๊ย ฉันพูดแรงไปเปล่า” ฉันตอบโต้ ศรีนวลเบ้ปากแล้วเดินหายไป ศรีนวลเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียน สนิทกันพอสมควร แต่ระยะหลังศรีนวลดูห่างไป อาจจะเป็นเรื่องงานหรือเปล่าฉันไม่แน่ใจ แล้วเช้าวันหนึ่ง ศรีนวลก็เข้ามาพูดคุยอย่างสนิทสนมเหมือนความบาดหมางนั้นได้หายไปแล้ว

                “ยัยวรรณ เมื่อวานฉันไปหาลูกค้าที่นครสวรรค์ ซื้อโมจิมาฝากเธอด้วย เห็นเธอชอบกิน เอาไปสิ นี่ไง  อร่อยนะเจ้านี้”

                ฉันมองขนมอย่างแปลกใจ แต่เห็นท่าทีของเพื่อนที่ดูจริงใจก็เลยรับมา “ขอบใจนะศรี อุตส่าห์ซื้อมาฝาก”

                “จ้า…เย็นนี้พวกไอ้ต้อมมันจะไปกินหมูกระทะกัน ไปด้วยกันไหมพวกเรา ไม่ได้เฮกันนานแล้ว นานๆ ทีไอ้ต้อมมันจะว่าง” ศรีนวลบอก

                ฉันตอบตกลงโดยไม่ลังเล…แวบหนึ่งเห็นศรีนวลยิ้มแปลกๆ แล้วเย็นวันนั้นฉันกับศรีนวลก็ออกไปด้วยกัน เพราะนัดเจอต้อมซึ่งมากับน้อยหน่า เราต่างทักทายกันอย่างชื่นมื่น “ได้ข่าวว่าแกดวงขึ้น ฟู่ฟ่าเรื่องงานเหรอ  ศรีมันบอก ดีๆ แกสองคนทำงานที่เดียวกัน ไม่อยู่ทีมเดียวกันวะ รวมกันเลย”

                เราสองคนนิ่งอึ้งกับคำพูดของต้อม ฉันเสหัวเราะกลบเกลื่อน ศรีนวลพูดขึ้นมาว่า “มันคนละทีม เพราะวรรณมันเข้ามาทำงานทีหลังฉัน บังเอิญมาเจอว่าเรามาทำที่เดียวกันแบบนี้ มันคนละทีมไปแล้ว ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกน่า แบบนี้แหละสนุกดี มันตื่นเต้นเว้ย แล้วแกสองคนเป็นไงมั่งวะ” เราคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบและรื้อฟื้นสมัยเรียนจนได้เวลาเราก็ร่ำลาแยกย้ายกันกลับบ้าน

                วันรุ่งขึ้น แม่เข้ามาปลุกเพราะสายมากแล้ว…ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ แม่รีบหายามาให้กิน ฉันนอนหลับไปอีกรอบ ตื่นอีกทีก็บ่ายมากแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้น นอนซมไปทั้งวัน

                หลังจากวันนั้น อาการฉันไม่ดีขึ้นเลย กินอะไรแทบไม่ได้มันจะอาเจียน แม่พาไปโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าปกติดี นอกจากเกิดการอ่อนเพลียเพราะกินอาหารไม่ได้ ให้ยาบำรุงมา กลับมาบ้านฉันก็ยังอาการเหมือนเดิม ไม่ได้ไปทำงานหลายวันจนเจ้านายบอกให้พักรักษาตัวไปก่อน

                ฉันเริ่มป่วยมากขึ้น บางครั้งเหมือนไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรบ้าง (ซึ่งตอนหลังแม่ได้เล่าให้ฟัง) แต่ระหว่างที่ป่วย ฉันมักจะได้ยินเสียงคนมาพูดข้างๆ หู และบังคับให้ฉันทำนั่นทำนี่ หรือบางทีเหมือนมีใครบางคนพยายามลวนลามโดยมีมือใหญ่ๆ สากๆ ของผู้ชายมาลูบไล้ตามเนื้อตัว…บางทีฉันก็เห็นเหมือนมีหนอนมาไต่ตามร่างกายเสื้อผ้าจนฉันต้องถอดทิ้งเพราะกลัวว่าหนอนจะมาไชเนื้อตัว…

                แม่เล่าว่า ฉันมักจะร้องกรี๊ดในเวลากลางดึก แล้วบอกว่ามีคนจะข่มขืนบ้าง มีหนอนมาไต่เนื้อตัวบ้าง และไม่ยอมใส่เสื้อผ้า ในที่สุดแม่ตัดสินใจไปหาพระที่แม่นับถือ ท่านบอกกับแม่ว่าฉันน่าจะโดนคนทำของใส่ ซึ่งท่านไม่สามารถช่วยได้ เนื่องด้วยท่านเป็นพระ ไม่ได้มีคาถาอาคมอะไรนอกจากพุทธคุณ ท่านให้สายสิญจน์กับน้ำมนต์ อาการของฉันก็เหมือนจะดีขึ้น แต่แค่สองสามวัน…คราวนี้ถึงกับเพ้ออาละวาดโวยวายจนถึงกับต้องผูกติดกับเตียงไว้

                พอวันรุ่งขึ้น เพื่อนของแม่มาเยี่ยมแล้วขอดูอาการฉัน เขาบอกว่าเขารู้จักร่างทรงคนหนึ่ง ท่านน่าจะช่วยได้ แม่กับเพื่อนจึงต้องหาคนมาช่วยกันหอบหิ้วฉันไปพบร่างทรงคนนั้น…เมื่อไปถึง (แม่เล่า ซึ่งตอนนั้นฉันไม่รู้สึกตัว) ฉันอาละวาดไม่ยอมเข้าไป แถมยังร้องท้าร้องด่าร่างทรง แต่กลับเป็นเสียงผู้ชาย ซึ่งทุกคนรู้สึกตกใจ แต่ในที่สุดเขาก็สามารถทำการรักษาด้วยการเอาน้ำทิพย์ (หรือน้ำมนต์ซึ่งร่างทรงจะเรียกน้ำทิพย์) มาให้ฉันกิน โดยที่หลายคนช่วยกันจับกรอกปาก แม่บอกว่าฉันลงไปดิ้นพราดๆ แล้วอาเจียนออกมาเป็นน้ำสีดำๆ มีกลิ่นเหม็นเน่ามาก ท่านเลยให้ช่วยกันกรอกน้ำทิพย์อีก ครั้งที่สองนี้อาเจียนออกมาเป็นเส้นผม แล้วก็เป็นเศษเหมือนเนื้อหนังควาย…พออาการดีขึ้น ท่านก็เอาสายสิญจน์มาผูกข้อมือและคอ

                ฉันหลับไปพักใหญ่ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที ตอนนี้ฉันเริ่มรู้ตัวแล้ว สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนล้อมรอบอยู่หลายคน “เป็นไง รู้สึกตัวแล้วใช่ไหม…เอ็งโดนคุณไสยของเขมรเข้าไป ไม่ตายก็บุญแล้ว แต่คนทำมันไม่ได้ตั้งใจให้ตาย มันตั้งใจแค่ให้บ้าๆ บอๆ แต่ก็ตายทั้งเป็นแหละวะ…อีกอย่างพุทธคุณก็ช่วยไว้ด้วย” พ่อปู่พูดขึ้น เสียงฮือฮาดังขึ้นมาทันที “ยังกลับไม่ได้นะ มันยังรอจะเข้าอยู่ที่ด้านนอก เอ็งต้องนอนอยู่ที่นี่สามวัน ไหนๆ จะแก้แล้วก็ต้องส่งกลับไปหาเจ้าของด้วย”

                เป็นอันว่าฉันกับแม่ต้องอยู่ที่สำนักนั้นถึงสามวัน จะมีรดน้ำทิพย์กินน้ำทิพย์ แล้วก็มีพิธีสวดต่างๆ อาการ ความรู้สึก การรับรู้ของฉันเป็นปกติทุกอย่าง จนพิธีล้างคุณไสยครบสามวัน…พ่อปู่สั่งให้ฉันไปทำบุญใส่บาตรและถือศีล 5 ให้บริสุทธิ์…ที่สำคัญท่านไม่เรียกร้องเงินทองสักบาท แต่แม่บอกว่าต้องตอบแทนท่านที่เรามาอยู่อาศัยตามแต่กำลังศรัทธา…แต่ฉันยังติดใจว่าใครกันเป็นคนทำ เลยถามท่านออกไป

                “เดี๋ยวก็จะรู้เองว่าใครทำ เมื่อของที่เขาทำไปเข้าตัวเขาเอง เอ็งก็อโหสิกรรมไป ไม่ต้องไปติดกรรมอีก เขาก็จะรับกรรมของเขาเอง”

                ฉันกลับมาใช้ชีวิตปกติ กลับไปทำงาน ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าที่ฉันหยุดงานไปเป็นเวลาเกือบสามเดือน ในวันแรกที่เข้าไปทำงาน เพื่อนๆ เข้ามาห้อมล้อมถามกันใหญ่ ฉันไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าป่วยและตอนนี้หายดีแล้ว โดยเฉพาะศรีนวลเห็นฉันถึงกับตกตะลึงทีเดียว และศรีนวลก็ได้ยอดขายเป็นอันดับหนึ่ง มีรายการสั่งซื้อของลูกค้ายาวเหยียด เรียกว่ากระฉูดยิ่งกว่าที่ใครๆ เคยทำยอดมาตลอด

                “ไงวรรณ ได้ข่าวเธอไม่สบาย หายไปหลายเดือนเลย ฉันคิดว่าเธอออกไปแล้วเสียอีก ฉันไม่ได้ไปเยี่ยมเลยเพื่อน ขอโทษนะ ไม่ค่อยมีเวลาเลย ติดลูกค้า…ดูสิ โทรเข้ามาอีกแล้ว ไปก่อนนะ…ฮัลโหล สวัสดีค่ะ ค่ะ…จะจัดให้อย่างเร็วเลยค่ะออเดอร์นี้”

                “ช่วงนี้ศรีนวลเขามือขึ้นมาก ลูกค้าติดกันตรึม งานเข้าถล่มทลาย เรียกว่าตีภาคอื่นกระจุยเลย รับคอมงวดๆ หนึ่งเป็นแสนเลยนะ….เมื่อไหร่จะถึงคิวเรามั่งนะ เจอแต่ลูกค้าเขี้ยวๆ อยากรู้จังยัยศรีมีอะไรดีนะ ช่วงนี้ถึงได้มือขึ้น” เสียงเพื่อนร่วมงานสองสามคนต่างพูดคุย ศรีนวลได้ยินส่งยิ้มอย่างหวานโปรยมาทางพวกเรา ฉันฟังแล้วไม่ได้คิดอะไร ใครได้ดีก็ดีใจด้วย และอีกอย่างเขาคงสบายใจที่ไม่มีคู่แข่งอย่างฉัน…เขาคงคิดว่าหมดคู่แข่ง หรือว่าจะเป็นศรีนวล ฉันฉุกใจคิดแต่ไม่แน่ใจ

                ฉันใช้ชีวิตปกติได้สักสองสามอาทิตย์ แต่ส่วนมากพวกเรามักจะเข้าบริษัทแค่อาทิตย์ละสองสามครั้งเท่านั้น จะไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไหร่นอกจากหัวหน้านัดประชุมเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง

                “วรรณ แกรู้เรื่องยัยศรีบ้างหรือเปล่า เห็นว่าไม่สบายมาก เย็นนี้ว่าจะไปเยี่ยม ไปด้วยกันไหม…เขาไปเยี่ยมกันมาว่าอาการหนักไม่น่าเชื่อ อาทิตย์ก่อนยังดูดีๆ อยู่เลย…เนี่ย ซื้อของเตรียมไว้แล้ว แต่เออ…ตอนเธอป่วยพวกเราไม่ได้ไปเยี่ยมเลย”

                “ไม่เป็นไร…ไปดูหน่อยก็ดีเพื่อนกัน”

                เป็นอันว่าพวกเราสี่ห้าคนขับรถไปเยี่ยมศรีนวลที่บ้าน ลักษณะบ้านเป็นทาวเฮาส์สองชั้น ศรีนวลอาศัยอยู่กับเพื่อนเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ พวกเราไปหยุดยืนที่หน้ารั้ว ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังอยู่ภายในบ้าน เราร้องเรียกสักพักก็มีผู้หญิงวัยกลางคนมาเปิดให้

                “สวัสดีค่ะ พวกเรามาเยี่ยมศรีนวลค่ะ…”

                หญิงวัยกลางคนยิ้มพยักหน้า แล้วเปิดประตูให้เราเดินเข้าไป…พอก้าวเข้าไปในบ้าน พวกเราได้กลิ่นเหม็นฟุ้งจนผงะ ทุกคนมองหน้ากัน

                “จะเข้ามาก่อนหรือเปล่า…เหม็นหน่อยนะ…นังศรีมันไม่สบาย ไม่รู้เป็นอะไร เอาแต่กัดเล็บ…เลยต้องมัดเอาไว้”

                สภาพที่เห็นเล่นเอาทุกคนตกใจ…ศรีนวลที่เคยสวยตลอดเวลา บัดนี้ผมเผ้าเป็นกระเซิง นุ่งผ้าถุง เสื้อที่ใส่ขาดวิ่น นั่งอยู่บนเตียงไม้…สองมือถูกมัดไว้กับขอบเตียง ตาขวาง พอมองเห็นพวกเราเดินเข้าไป เขาก็เหมือนตะคอกออกมาว่า “มาทำไม…พวกมึงมาทำไม…”

                หญิงวัยกลางคนหันไปดุเป็นภาษาถิ่น แล้วแกก็พูดกับเราว่า “นวลมันเป็นอย่างนี้มาสามสี่วันแล้ว พูดอะไรก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เอาแต่กัดเล็บจนเลือดออก เพื่อนเขาโทรตามแม่ให้มาช่วยดูแล รอพี่ชายเขามารับกลับไปรักษาที่สุรินทร์ ร้องโวยวายทั้งวัน จิกหัวตัวเองจนผมจะร่วงหมดแล้ว บอกมีหนอนไต่ เสื้อผ้านี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ผูกมือเอาไว้ก็จะถอดออกหมด บอกร้อน บอกหนอนไต่…เฮ้อ…แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ค่ำๆ วันนี้พี่ชายเขาคงมาถึง แล้วพวกหนู…”

                “พวกหนูเป็นเพื่อนร่วมงานค่ะ รู้ว่าศรีป่วยเลยพากันมาเยี่ยม เขาเป็นมากเหมือนกันนะคะ ไปหาหมอหรือยังคะแม่”

                “ยังเลย…ก็รอพี่ชายเขามาก่อน มาช่วยกันพาไปรักษา คงต้องเอากลับสุรินทร์ ขอบใจมากนะ…กินน้ำกันก่อนไหม”

                “มะ…มะ ไม่เป็นไร พวกเราไม่รบกวนแล้วค่ะ ขอให้ศรีหายไวๆ นะคะ…งั้นพวกเราลากลับเลยนะคะ สวัสดีค่ะ….สวัสดีค่ะ”

                “เออ…ไปเลย…ออกไป พวกมึงออกไป…” ศรีนวลตะโกนบอกพวกเราด้วยดวงตาที่ขวางและเหลือกถลน เรารีบแจ้นออกมาแทบไม่ทัน

                เพื่อนสี่คนต่างพูดคุยไปต่างๆ นานาระหว่างเดินมาขึ้นรถ ส่วนฉันคิดคนเดียวเงียบๆ ว่าอาการที่ศรีนวลเป็นเหมือนที่ฉันเป็น อาการเดียวกันเปี๊ยบเลย…นึกถึงคำที่พ่อปู่บอกไว้ว่า…เดี๋ยวก็รู้เองว่าใครทำ เมื่อของที่เขาทำมันจะไปเข้าตัวเขาเอง

                คุณพระ!!…..ศรีนวลเองเหรอที่เป็นคนทำคุณไสยใส่ฉัน…แล้วนี่ใช่ไหม ที่ของนั้นกำลังเข้าตัวเขาเอง พอคิดได้อย่างนี้ฉันรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที รีบชวนเพื่อนๆ กลับอย่างไว

                ฉันเล่าเรื่องศรีนวลให้แม่ฟัง แม่บอกว่ามันเป็นเรื่องของกรรมจริงๆ ซึ่งฉันก็ไม่คิดโกรธแค้นอะไรและอโหสิกรรมให้…เพราะความริษยา ทำให้เกิดเรื่องราวขึ้น ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะบันดาลโชคลาภให้ศรีนวลอย่างมากมาย แต่เขาก็เอาคืนแบบนี้ ฉันว่าได้ไม่คุ้มเสียเลย

                หลังจากวันนั้นผ่านไปหลายเดือน  ฉันได้ข่าวว่าศรีนวลกลับไปอยู่สุรินทร์ กลายเป็นคนวิกลจริตและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ฉันรู้สึกสงสารและเห็นใจ…แต่นั่นก็เพราะเขาเอาตัวเข้าไปพัวพันกับคุณไสยมนต์ดำนั่นเอง ขอให้ดวงวิญญาณของเธอหลุดพ้นบ่วงกรรมด้วยเถิด และนี่คือเรื่องราวที่ฉันต้องจำไปจนวันตายเลยค่ะ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ

ภาพโดย. t1.gstatic.com, www.thepaincenter.com, consumer.healthday.com, castleofchaos.com, www.freepik.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •