24 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เรื่องนี้เริ่มจากการเสียชีวิตของชายหนุ่มวัย 26 ปี เขาชื่อโก้ โก้เป็นเด็กกำพร้าบิดา-มารดา ใช้ชีวิตเพียงลำพังอยู่กับยายแก่ๆ สองคน ซึ่งยายศรียายของโก้นั้นมีอาชีพเป็นหมอนวดจับเส้น ทั้งนี้ตลอดงานศพของโก้ผู้เป็นหลานยายศรีแกซึมเศร้าไม่พูดจากับใครเลย

ส่วนการจากไปของโก้ (ที่ผู้เขียนต้องจับประเด็นเขียนเรื่อง) เนื่องจากโก้ได้จากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรด้วยสาเหตุถูกตะขาบต่อยแล้วแพ้พิษจนถึงแก่ความตาย หลังจากเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพียงสองคืนเท่านั้น แต่การจากไปชั่วชีวิตของโก้ยังมีคนที่รู้จักครอบครัวของยายศรีเป็นอย่างดีได้เอ่ยพูดว่า เป็นโชคดีของยายศรี เหตุด้วยระยะหลังโก้นั้นลาออกจากงานเพราะเข้าไปข้องแวะกับยาเสพติด ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาชีวิตของยายศรีแทบจะหาความสุขไม่ได้เลย

“ตอนแรกที่ไอ้โก้เอายาเข้าไปขายในโรงงาน มันแค่อยากได้เงินมาออกรถ แต่ทำไปทำมาดันไปติดยาเสียเอง คราวนี้รถก็ไม่ได้ออก แถมยังติดยางอมแงม ผู้หญิงที่เคยชอบพอก็ตีตัวออกห่าง ใครจะเอาคนที่ติดยามาทำผัว ใช่ไหมเล่าคะ” ซึ่งผู้เล่านั้นเป็นญาติห่างๆ ของยายศรี มีบ้านอยู่รั้วติดกัน

“คราวนี้เงินสะสมของยายศรีมีเท่าไร ไอ้โก้ค่อยทยอยผลาญจนยายศรีต้องมาระบายให้ที่บ้านฉันฟังอยู่บ่อยๆ ว่าตอนนี้มีเงินติดตัวเหลือไม่กี่บาทแล้ว ซุกซ่อนไว้ที่ไหนมันหาเจอหมดค่ะ ส่วนเวลาที่ได้เงินไปถือว่าจบๆ ไปหนึ่งวัน และหากไม่มีเงินให้มัน ไอ้โก้จะเขวี้ยงข้าวของ และก่อนตายไม่เท่าไร มันถึงขั้นทุบตียายศรีที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่วันที่แม่มันเอามาทิ้งไว้ให้ยายยศรีเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะโน่น นี่ยายศรีไม่ใช่ยายแท้ๆ ของมันหรอกนะคะ”

หลายคนที่ร่วมรับฟังก็เพิ่งมารู้ความจริงว่า…แท้ที่จริงแล้ว ยายศรีเป็นแค่หมอตำแยบีบนวด และรับจ้างเลี้ยงเด็ก ส่วนแม่ของโก้นั้นได้พาโก้มาให้ยายศรีเลี้ยงตั้งแต่อายุได้ 15 วัน และไม่กลับมาอีกเลย และเชื่อมั้ย ก่อนที่ไอ้โก้จะถูกตะขาบต่อย มันเนี่ย…เอาหม้อหุงข้าวทุ่มใส่หัวยายศรี อ้างว่าแกไม่ยอมหุงข้าวให้มันกิน มันกำลังหักยาด้วย อารมณ์เสียหิวจัด ที่รู้เพราะยายศรีมาหลบที่บ้านฉัน หน้าตาปูดบวมทันตาเห็น ท้ายที่สุดฉันต้องให้แกหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านจนถึงเช้า โอ๊ย! ไอ้โก้มันคลั่งหิว เดี๋ยวเพล้งเดี๋ยวโครม! หากคืนนั้นยายศรีแกไม่ร้องไห้สักแอะ…อย่างที่เคยเป็นแฮะ? แกกลับเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนล้างหน้าล้างตา ขอฉันเข้าไปสวดมนต์ที่ในห้อง คืนนั้นฉันฟังยายศรีสวดมนต์ทั้งคืน ไม่รู้ภาษาอะไรของแก จนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัวนะ

มาสะดุ้งอีกที เสียงไอ้โก้ร้องโหว่ยๆ ว่าโดนตะขาบต่อย เออเน๊าะ…เห็นไอ้โก้มา 20 กว่าปี ฉันเพิ่งเห็นน้ำตาของมัน ปากก็ร้องหายายศรี

“ยาย…ยาย…ผมโดนตะขาบต่อย ปวดแทบขาดใจแล้ว ยาย…ช่วยด้วย!”

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

มันร้องครวญครางน่าสงสารมาก นี่หากมันไม่เกี่ยวของหยูกยา ไอ้โก้เป็นเด็กดี คนดีคนหนึ่งทีเดียว ฉันว่า

“อยากรวยทางลัดก็เป็นอย่างนี้” ผู้ร่วมรับฟังคนหนึ่งเอ่ยขัด หากผู้ฟังหลายคนเลือกที่จะนิ่ง เพราะอย่างไรกำลังอยู่ในช่วงงานศพ

“หรือว่าไอ้โก้มันจะโดนของดี เพราะช่างตายง่ายตายดายดูผิดธรรมชาติ” ผู้มาช่วยงานคนเดิมพูดแทรกอีกครั้ง

“ฉันเกิดมาจนอายุ 60 ก็เพิ่งเห็นนี่ล่ะ ที่คนหนุ่มแน่นแต่กลับแพ้พิษของตะขาบ และแกไม่เห็นสีหน้ายายศรีบ้างรึ สังเกตดีๆ สิ แกเศร้าก็จริง แต่ก็เหมือนแกโล่งใจอยู่นะที่ไอ้โก้จากไป”

จำได้ว่าอยู่ๆ วงสนทนาได้หยุดในคำพูด เหตุด้วยยายศรีได้มุ่งเดินมาที่กลุ่มเราที่กำลังพูดถึงยาย

“เหมือนฉันกำลังโดนนินทาอยู่ คุยอะไรเกี่ยวกับข้าอยู่รึ?”

เป็นประโยคแรกที่ยายศรีทักทายแขกเหรื่อกลุ่มที่ผู้เขียนนั่งร่วมวง ไม่มีคำตอบ คนค่อยทยอยออกจากกลุ่มทีละคน โดยผู้หญิงคนที่วิจารณ์ยายศรี ซึ่งล่าสุดได้เดินตามผู้เขียนมา

“ไม่ลองสังเกตบ้างรึคุณ ว่าตัวยายศรีน่ะ แกมีของดีในตัวคุ้มครอง”

ฉันตอบไปว่า เรื่องนี้ไม่รู้จริงๆ เนื่องจากที่บ้านหลังนี้นานๆ ฉันถึงกลับมา (เป็นบ้านเดิมของแม่ผู้เขียน) เมื่อทราบว่ามีคนตายในหมู่บ้าน ก็เดินทางมาช่วยงาน ส่วนยายศรีนั้นเธอเป็นเพื่อนเก่ากับแม่ผู้เขียนอีกที แต่ตอนนี้แม่ของฉันหามีชีวิตไม่แล้ว… เรื่องมีอยู่เท่านี้ ซึ่งเพื่อนบ้านได้พูดต่อ

“สมัยก่อนตอนที่ฉันเป็นเด็กวิ่งเล่นในหมู่บ้าน ครั้นพอตะวันโพล้เพล้แล้ว ไม่ยอมเข้าเรือน แม่จะตะโกนร้องบอก เดี๋ยวให้ยายศรีหมอตำแยมากินตับ ครั้นพอฉันโตขึ้นมาหน่อยพอรู้เรื่องราวชาวบ้าน ก็ให้รู้ว่ายายศรีแกมีหลายอาชีพ เป็นทั้งหมอตำแย หมอบีบนวด รับเลี้ยงเด็ก กวาดยาเด็กเป็นไข้ แถมวันดีคืนดีใครโดนผีเข้าแกก็ไล่ออกได้อีก”

คนเล่าหันซ้ายแลขวา ส่วนสถานที่ที่เรานั่งคุยนั้นได้เลยข้ามจากฝั่งวัดมาทางรั้วโรงเรียนเด็กเล็ก บรรยากาศไม่ค่อยน่ากลัวแล้ว

“และเธอรู้มั้ย ตอนนี้ยายศรีอายุเท่าไร แกอายุ 90 แล้วนะ หากคนอย่างเราๆ นี่คงลงโลงตั้งแต่อายุ 70 แต่อายุ 90 ของยายศรีแกเดินเหมือนวิ่งเลย จำเมื่อตะกี้ได้มั้ย? เห็นแกเดินสำรวจอยู่ที่หน้าโลงศพแท้ๆ พริบตาเดียวเดินดิ่งมาท้ายศาลาที่เรานั่งแล้ว แหมหายตัวได้เหมือนในหนังเน๊าะ?”

ซึ่งข้อนี้ฉันเอ่ยกับคู่สนทนาไปตามความรู้สึกว่าตนเองนั้นแปลกใจอยู่เหมือนกัน โดยคู่สนทนาได้พูดตอกย้ำอีก

“ที่ฉันเชื่อของฉันเองว่ายายศรีเนี่ยแกต้องมีวิชา มีครูอาจารย์ ไม่ของอย่างไหนก็อย่างหนึ่งที่เล่นงานหลานชายถึงตาย ยายศรีแกคงปลุกของออกมาใช้? โลกเราความเจริญก้าวไปถึงไหนแล้ว แถมอีสานบ้านเฮานั้นเจริญยิ่งกว่าอะไร…เข้าเขตอำเภอปากช่องก็สร้างรถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่านหัวแล้ว ที่ว่าหลานของยายศรีถูกตะขาบต่อยน่ะ ทางโรงพยาบาลเค้าต้องมียาฉีดแก้พิษ เว้นเสียว่าตะขาบที่ต่อยน่ะมันเป็นของที่ปล่อย เป็นตะขาบเสกขึ้นมา ที่ฉันตั้งข้อสังเกตเนี่ยก็ใช่จะปรักปรำตัวยายศรีนัก เชื่อว่าแกคงช้ำใจที่สุดแล้วหากต้องทำ!”

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

ต่อมาให้ได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาการของโก้ผู้เสียชีวิตนั้น หลังจากที่โดนตะขาบต่อยแล้วเขามีอาการเลือดไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด และบริเวณรอบปากแผลนั้นไหม้ดำสนิท เสมือนเนื้อหนังบริเวณนั้นตายเน่ามานาน

ทั้งนี้เมื่อประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ผู้เขียนจึงงดที่จะไปร่วมงานเผาศพของน้องโก้ผู้วายชนม์ หากยังมีเรื่องเล่ากระเซ็นกระสายออกมาว่า หลังจากงานฌาปนกิจศพผ่านพ้นไป โดยเป็นเรื่องของคุณลุงสัปเหร่อที่พบเจอเล่าผ่านคนใกล้ชิดว่า ช่วงกลางดึกที่ไปเขี่ยไฟให้คุโชน ลุงเห็นเป็นตะขาบนับร้อยตัวไต่ยั้วเยี้ยอยู่ในกองไฟ! ไฟลุกแดงๆ นี่แหละ แต่ตัวตะขาบไต่อยู่ในซากศพ…เหมือนมันมีชีวิตและกำลังแทะกินซากศพไปพร้อมๆ กับการเผาไหม้ ซึ่งลุงสัปเหร่อพูดได้เต็มปากว่า…โก้ถูกทำของใส่จนตาย และคนทำก็คงไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นคนที่เลี้ยงดูนายโก้มาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ แล้วโก้ได้มาเนรคุณในภายหลังนั่นล่ะ

ต่อมาเมื่อชาวบ้านพูดถึงเรื่องนี้กันหนาหู ยายศรีก็ไม่ค่อยอยู่บ้านนัก หลายคนเชื่อว่าแกคงร้อนใจและทุกข์ใจไม่มากก็น้อยในคำพูดคน ยายอาจเดินทางไปพักผ่อนกับญาติที่ต่างอำเภอ หลายคนลงความเห็น ทว่าเรื่องที่ดูสลักสำคัญกว่ายายศรีที่กำลังหลบหน้าผู้คนนั้น ข่าวเรื่องเล่าจากปากของลุงสัปเหร่อว่าลุงมักเจอวิญญาณของโก้มานั่งร้องไห้ที่กองฟอนเผาศพ ทุกค่ำคืนใครที่เดินทางไปวัดต่างพูดคุยถามไถ่ถึงเรื่องนี้ และวันพระก่อนเทศกาลเข้าพรรษาที่ผ่านมา ตัวฉันก็ได้นั่งฟังคำพูดของลุงสัปเหร่อด้วยตัวเอง แปลเขียนจากสำเนียงอีสานได้ดังนี้

“ที่ว่าเจอนั้นผมเห็นร่างเป็นผู้ชายนั่งหันหลังให้ใกล้กับกองฟอนตั้งแต่คืนที่เผาคนตายแล้ว ช่วงที่เดินไปเติมเชื้อฟืนยิ่งเห็นชัดเจน จนถึงตอนดึกเกือบตีสอง ผมใส่ฟืนรอบสุดท้าย กะว่ารอบนี้คงเผาหมดมอดแน่ ตั้งใจจะเดินไปงีบหลับที่ศาลาปลงศพ เช้าค่อยมาเขี่ยเถ้า แค่ก้าวแรกเท่านั้นมีเสียงเรียก ‘ลุง’ พอผมหยุดก็ได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ จับได้ว่าเป็นเสียงผู้ชาย ส่วนกับคนตายรายนี้ สมัยก่อนได้แต่เห็นหน้า รู้เป็นลูกหลานยายศรี แต่ไม่เคยทักกัน คืนนั้นได้ปลอบใจคนตายให้ปลงตก เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องเจอ เมื่อตะวันขึ้นขอบฟ้าแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณเดินทางไปสู่สุคติเถิด แต่มีเสียงลอยลมตอบกลับมาเบาๆ ว่า ยังไปไหนไม่ได้ ไม่มีใครพาไป ขออยู่ตรงนี้ก่อนไ ม่รู้จะไปทางไหน บ้านเคยอยู่อาศัยก็เข้าไม่ได้

ผมพูดถามย้อนกลับว่า ยายเอ็งเขาไม่เรียกเอ็งกลับบ้านหรือ? เมื่อเอ่ยถึงยายศรี เขาก็มีเสียงร้องไห้ให้ได้ยินอีก เขาร้องอยู่นาน เรียกว่าผมยืนฟังจนเหนื่อย ก่อนตัดสินใจรีบเดินกลับมางีบนอนเอาแรง เราแก่ 79 แล้วครับ ไหนตื่นเช้าต้องทำพิธีแยกเถ้าอัฐิอีก”

ซึ่งต้องขอเรียนบอกกล่าว ตั้งแต่ผู้เขียนได้พูดคุยกับสัปเหร่อประจำวัดตามต่างจังหวัดที่ห่างไกลความเจริญ ส่วนใหญ่สัปเหร่อมักดื่มสุราเป็นเครื่องย้อมใจ ยิ่งเป็นการเผาศพในลักขณะเชิงตะกอน เผากลางแจ้งด้วยยิ่งแล้ว เหล้าเถื่อน เหล้าขาวเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่สำหรับคุณลุงสัปเหร่อท่านนี้ ท่านไม่ดื่มเหล้าค่ะ ยามที่ไม่มีศพให้เผา ท่านก็ช่วยเหลืองานวัดเป็นอย่างดี

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

“คืนนั้นเมื่อปัดๆ พอหาที่เอนหลังได้ ผมหลับฝันทันที จะว่าฝันไปก็ไม่เชิง แต่เสมือนเขาอยากให้รู้ให้เห็น เพราะภาพมันออกมาตรงหน้าเลยว่านายคนตายถูกตะขาบตัวใหญ่มากชอนไชกินน้ำเลือดน้ำเหลือง ผมเห็นตะขาบนับร้อยๆ ตัวครับ รุ่นปู่ย่าตายายเคยเล่าให้ฟัง ไอ้พวกหนังวัว ควาย ตะขาบ ต่อ แตนเป็นคุณไสยที่คนเขมรเขาเล่นของใส่กัน เขมรเป็นต้นตำรับเจ้าพิธีมนตร์ดำพวกนี้ เป็นของที่แก้ยากมาก โดนแล้วตายสถานเดียว…เฉพาะของที่เขาส่งกันแรงๆ ไม่เกิน 3 วัน 7 วันครับ ได้ขึ้นสวดกุสลาแล้ว

แต่อย่างว่าครับ คนเราหากไม่มีกรรมมีเวรต่อกัน เคยสร้างกรรมร่วมกันมาคงไม่โดน อย่างดีเมื่อดวงตกก็โดนแค่ลมเพลมพัด

เรื่องอย่างนี้เราไปตัดสินไม่ได้ ใครถูกใครผิดขอให้คิดเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ให้กรรมดีกรรมชั่วตัดสินดีที่สุดครับ

หากหลังจากที่พูดคุยกันในวัดผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืน ก็ให้ได้ข่าวของยายศรีว่า ยายได้นุ่งขาวห่มขาวโกนหัวบวชชีได้นานนับสิบวันผ่านไปแล้ว คนเล่าเล่าว่า ยายคงบวชแก้กรรมที่ทำไว้กับหลานชาย แม้ไม่ใช่ลูกหลานในไส้ แต่ก็เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต คิดแล้วพาใจสลดด้วย โลกเราทุกวันนี้มีแต่เรื่องที่ยุ่งเหยิง ผู้คนจิตใจร้อนรน ขาดสติ แม้ใจของเรา บางคราวก็คิดเตลิดเปิดเปิงด้วยกิเลสความชั่วเข้าครอบงำสติ คิดทบทวนไปมาจึงสำคัญที่สุดที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง

แม้เรื่องนี้พอมีความดีอยู่บ้าง ข้าพเจ้าขออุทิศบุญแด่เจ้าของเรื่อง คือนายโก้ ผู้วายชนม์ ขอให้มีจิตใจที่เยือกเย็น สุขุม สุขสงบ ไม่คิดจองเวรอีก ขออนุโมทนาผลบุญที่คุณยายศรีได้บวชชี อย่างน้อยคุณยายก็ได้ขึ้นชื่อแยกดี – ชั่วได้ ท่านถึงตัดสินใจปลงผม ปฏิบัติธรรม

แม้เรื่องทำของ ทำคุณไสย ตำรวจจะไม่สามารถจับมือใครดมพาเข้าคุกได้ แต่มันเป็นความทุกข์ทางใจ เชื่อว่าทุกอย่างยังไม่สายเกินไปสำหรับคุณยาย

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. www.news.trongdee.com, www.th.wikipedia.org, www.pixabay.com, www.cand.com.vn


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •