28 มีนาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ช่วงปลายปี พ.ศ.2558 หญิงชราวัย 84 ปี ได้มาเช่าห้องเช่าราคาถูกอยู่เพียงลำพัง ทราบเรื่องราวของหญิงชราที่ชื่อว่านางอ้น เมื่อลูกหลานขับรถมาส่ง จัดข้าวของวางให้นางอ้นอย่างรีบร้อนก็พากันขับรถจากห้องเช่าไป จากวันนั้นจรดวันนี้ก็ไม่เห็นวี่แววใครจะมาเยือนเธออีก

                ทั้งนี้ทุกๆ เช้า หญิงชราจะออกมานั่งรับลมที่หน้าบ้านเช่า มองรถคันนั้นคันนี้ผ่านไปมาจนลิบตาทุกวัน เสมือนคุณยายรอการกลับมาของใครบางคน เมื่อมีคนร้องถาม “ยาย ยายกินข้าวรึยัง”

                “กินแล้ว ยายกินอิ่มแล้ว” ยายอ้นได้แต่ตอบคำถาม ส่วนดวงตาที่ฝ้าฟางคงยังเหม่อลอย เสมือนในใจครุ่นคิดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของหญิงชรา จวบจนกระทั่งก่อนเทศกาลเข้าพรรษา มีคนรุ่นราวคราวเดียวกับยายอ้นได้มาเช่าอยู่ห้องเช่าในละแวกที่ไม่ไกลกัน ทราบในภายหลัง ยายนวลคนนี้ในอดีตเคยเป็นเพื่อนกับยายอ้นเสียด้วย โลกมันกลมหรือจงใจแกล้ง…

                ซึ่งหญิงชราทั้งสองนางนั้นมีอุปนิสัยใจคอที่แตกต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ยายอ้นดูเป็นคนที่เงียบขรึม ช่างคิด ไม่ค่อยวุ่นวายสุงสิงกับใคร ถามคำก็ตอบคำ มักถือพัดเล็กๆ อยู่ในมือ ส่วนยายนวลเพื่อนของยายอ้นเป็นคนที่ช่างแต่งตัว แม้จะอยู่ในวัยที่ชราภาพมากก็ตาม โดยเล็บมือสิบนิ้วของนางนวลนั้นจะแต่งแต้มด้วยสีหลากสี…ล้วนแต่ไม่ซ้ำสีกัน ส่วนหน้าตานางก็แต้มสีสันตลอดเวลา ริมฝีปากไม่เคยลบ อีกข้อที่แตกต่างของยายอ้นและยายนวลก็คือ ยายอ้นไม่ดื่มเหล้า แต่ยายนวลนั้นดื่มยาดอง เหล้าขาว ทุกๆ เช้านางต้องออกไปเป๊กที่ร้านค้า และหากเจอคนที่รู้จัก หรือคนที่พอเข้าไปตีสนิทได้ ยายนวลก็เจ้ากี้เจ้าการ แบมือขอเงินเสียดื้อๆ “ขอล่ะ สิบบาทเท่านั้น”

                ต่อมาก็พร่ำพรรณนาว่ามีลูกชายรับราชการเป็นใหญ่เป็นโต ที่เขียนได้เพราะผู้เขียนนั้นเจอยายนวลหยอดมุกนี้บ่อย ซึ่งหลังจากเอ่ยถึงหน่วยงานของลูกชายแล้ว มักตามด้วย “ลูกให้ฉันเดือนละสองหมื่น ให้เปล่าๆ ไม่เกี่ยวกับค่าเช่าห้อง เค้าเอาไว้ให้ออกดอก”

                “ลูกชายให้ทุกเดือนแน่นะ” เจ้าของร้านค้าถามย้ำ

                “อ้าว ถามแปลก หน้าอย่างอีนวลเนี่ยนะพูดล้อเล่น?”

                “ใครเค้าจะเชื่อยาย…กินเหล้าขาวยังติดมั่งสดมั่ง แถมจะรีดไถให้ที่ร้านเสียลูกค้าอีก…เปิดประตูร้าน 6 โมงเช้า ยายก็มาเกาะที่ร้านแล้ว หากลูกชายให้เดือนละสองหมื่นจริง ซื้อเหล้าขาวไปดองเหล้าเอง หรือไม่ก็ซื้อเบียร์กระป๋องไปยัดตู้เย็น แต่ทั้งปีทั้งชาติไม่เคยเห็นหน้าลูกชายยาย มีแต่หมาเดินตามมาเป็นพรวน มันน่ารำคาญที่ต้องมานั่งฟังคนแก่เล่านิยายทุกวัน” แม้จะถูกเจ้าของร้านลงเอยด้วยการตะเพิดไล่กลายๆ แต่ไม่พ้นสามวันก็เห็นยายนวลไปนั่งปร๋อที่หน้าร้านค้าอีก คราวนี้ต่อมาได้เป็นบทที่ผู้เขียนต้องเสียสตางค์บ้าง

                “เข้าพรรษา ไม่พักตับบ้างรึยาย”

                “อิฉันพักรอบเดียวค่ะ คือลงโลง ไหนๆ ก็ลงทุนมาทั้งชีวิตแล้ว ขอแค่ยี่สิบเท่านั้น ดูหน้าตาก็ไม่น่าเหนียว” พูดไม่พูดเปล่า เล็บนิ้วมือหลากสีได้กระดกเหล้าลงคอวาบ เมื่อได้น้ำต่อชีวิตที่ยายมักพูดจนติดปาก “คุณรู้จักอีอ้นมั้ยล่ะ อีอ้นกับฉัน สมัยนั้นเป็นเพื่อนเก่ากัน แต่มาวันนี้ แหม…มันทำแอ๊บ วางตัวเป็นผู้ดี แท้แล้วก็เป็นมาม่า เป็นออหรี่มาแต่ก่อนเหมือนกันล่ะว้า เพิ่งมาหยุดเอาอีตอนตะบันน้ำหมากกิน…ลูกหลานทอดทิ้งนี่ล่ะ”

                “เล่าถึงแต่เรื่องคนอื่นทั้งนั้นนะยายนวล…” เจ้าของร้านค้าผู้ชายเอ่ยขึ้น “แล้วเรื่องตัวเองล่ะ ดีแค่ไหน?”

                ยาดองรอบที่ผู้เขียนเลี้ยง ยายนวลกระดกซ้ำ “โธ่ ไอ้ทีป เอ็งอย่าดูถูกยาย สมัย 50-60 ปีก่อน ฉันคุมตั้งแต่อ้อมน้อย สามพราน ตั้งเซียฮวด นครปฐม จรดบ้านโป่งราชบุรี มีใครบ้างที่ไม่รู้จักแม่เล้าศรีนวล” มือหนึ่งชี้ไปที่ห้องเช่า “ส่วนอีอ้นมันหาเงินแถวตาคลี อู่ตะเภา ต่อมาก็ยกระดับเป็นแม่เล้าเกรดเอ…ลูกหลานของมันกี่คนต่อกี่คน มันให้จับฝรั่งทำผัวหมด ความที่ลูกหลานเพราะได้ฝรั่งบ้าง ไทยบ้าง ทำให้ไม่ค่อยจะรักกัน ไม่สังเกตอีอ้นบ้างรึ สุดท้ายก็ถูกหลานเอามาทิ้ง ต้องมาเก็บกินทุนเก่า ฉันเคยแอบไปดูมันตำน้ำพริกกะปิ ครกหนึ่งอยู่ได้เป็นสิบวัน แล้วก็ออกมานั่งคอยลูกคอยหลานมาเยี่ยม โธ่ มันไม่มาหรอก ฉันเอาหัวเป็นประกัน”

                “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะยาย”

                “ก็อีนี่ สันดานมันคิดอยากให้ลูกหลานได้ดี ลูกหลานมันกี่คนต่อกี่คน มันเที่ยวหาผัวให้เค้าหมด ยินยอมมั่ง ไม่ยินยอมมั่ง มันหลอกลวงเค้าไปทั่ว มีเยี่ยงมีอย่างรึคุณ หัวดำหัวหงอก เปิดทางให้ลูกหลานตัวเองถูกคนมีตังค์ข่มขืน แล้วขอเงินค่าเสียสาว หากโชคดีไป เศรษฐีเค้าก็เอาไปเลี้ยงดูออกหน้าออกตา…หากที่โชคร้าย ดูแลเค้าไม่ดีเพราะผู้ชายหัวล้าน พุงพลุ้ย ต้องกล้ำกลืนฝืนทน พอผู้ชายมองดูออกว่าเด็กมันรังเกียจ เค้าก็รีบถีบหัวส่ง หาคนใหม่ที่ทำใจได้ เพราะผู้ชายเค้ามีเงินไง บางคนท้อง อีอ้นก็พาไปทำแท้ง เด็กที่อีอ้นพาไปทำแท้งนับร้อยคนแล้วกระมัง! คุณลองดูหน้ามันสิ มีความสุขเสียที่ไหน นั่งตรงไหนก็อมทุกข์ที่ตรงนั้น เค้าเรียกคนมีกรรมไงเล่าคุณ”

                “โถ ยายนวล แม่คนมีบุญ ดีแต่นินทาคนอื่นนะแม่นะ” เจ้าของร้านเอ่ยแย้งสวน

                “โธ่ พ่อทีป ฉันก็ไม่ได้ว่าฉันเป็นคนดี แต่อย่างน้อยการขายเนื้อหนังมังสา ยึดอาชีพขายที่นาแปลงน้อย ฉันก็ไม่เคยบังคับคนให้ทำ ที่ทำๆ เนี่ย มีแต่คนเดินมาหาฉัน ว่าแต่เรื่องพาคนไปทำแท้ง ฉันไม่เคยพา ได้แต่ชี้ช่องบอกทางเท่านั้นว่าหมอตำแยที่ไหนเค้าทำกัน”

                “ก็นั่นปะไรเล่ายาย…แล้วมันแตกต่างกันตรงไหน?”

                “ฉันยังเล่าไม่จบตาทีป” ยายนวลส่งเสียงดัง “ฉันเพียงจะพูดต่อไปว่า แม้นที่ฉันบอกทางคนนั้นคนนี้ให้ไปฆ่าคน กรรมมันยังตามมาจนต้องกินเหล้าย้อมใจมาจนทุกวันนี้!…ทุกคืนเลยก็ว่าได้ ที่คนอย่างอีนวลไม่เคยนอนหลับเต็มตื่น ภาพเด็กผีมันผุดขึ้นมาเองทุกตีสาม ตีสี่…เอ็งอย่าเพิ่งดุด่ายายนักเลยทีปเอ๊ย ยายก็มีกรรมในส่วนของยายเยอะอยู่”

                “ทุกวันนี้ ยายอ้นพูดคุยกับยายมั้ยล่ะ” ผู้เขียนเอ่ยถามบ้าง

                “ฉันพยายามคุยกับเค้า แต่ยายอ้นนิ่ง”

                “ก็ดีแล้วไงล่ะยาย ต่างคนก็ต่างอยู่ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย”

                “ก็มีแต่ยายนั่นล่ะ ที่ชอบพูดแขวะถึงเขา” ประทีมเสริม

                “โธ่ ตาทีป ใครไม่เป็นฉันไม่รู้หรอกนะ คนที่เคยขึ้นชื่อว่าทำมาค้าขาย ทำอาชีพเดียวกัน ส่งเด็กเปลี่ยนข้ามจังหวัดกันทุกสองสามเดือน แต่พอแก่ตัวเข้ากลับทำเป็นไม่รู้จักกัน ทั้งที่ห้องเช่าตรงนี้ ฉันตามยายอ้นมาอยู่แท้ๆ อาศัยไถ่ถามลูกหลานเค้าช่วยบอกทางมา หากพอเจอตัวเข้าจริงๆ กลับทำเป็นไม่รู้จักกันเสียอย่างนั้น…แล้วอย่างนี้จะให้ฉันพูดอะไร?”

                ต่อมาได้แสดงความคิดเห็น ความคิดอ่าน ความทรงจำ ของยายอ้นคงเลอะเลือนไปตามวันเวลา ไม้ที่ใกล้ฝั่งมักเป็นเช่นนี้ ผิดเสียว่าบุคคลนั้นยอมรับกับชะตากรรมได้มากแค่ไหน น้อยแค่ไหน หรือไม่ได้เลย จนวันถัดมา ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับยายอ้น ขณะที่ทราบว่าฉันจะเดินทางไปวัดในวันพระ ยายอ้นได้แต่ยกมืออนุโมทนา ซึ่งเมื่อเอ่ยปากชวนยายให้ไปทำบุญด้วยกัน

                “อิฉันไม่สบายค่ะ”

                “แล้วยายมีใครพาไปหาหมอรึยัง?” ยายอ้นนิ่ง “อาการของยายเป็นอย่างไรบ้าง”

                “อิฉันมีอาการร้อนอยู่ในอกค่ะ มันร้อนอยู่แต่ข้างใน เวลาร้อนมากๆ ก็ใช้น้ำลูบตัว…แล้วพัดเอา ค่อยพอบรรเทาได้ บ้าง” จากนั้นฉันอดถามถึงลูกหลานของยายเสียมิได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นใคร่อยากรับฟังจากคำพูดของยายเอง “เขาไม่มาแล้วล่ะค่ะ เขาบอกว่าที่มาส่งฉันในหลายเดือนก่อน ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน”

                “ทำไมถึงต้องพูดรุนแรงกันขนาดนี้ด้วย”

                “คงเป็นจากหลายสิ่งหลายอย่างในตัวฉันที่เขาพากันรังเกียจ เรื่องมันนมนานมาแล้วก็จริง แต่มันก็ผูกพันมาจนทุกวันนี้ ตัวยายเองนั้นทำกรรมไว้เยอะ มากมายจนนับไม่ถ้วน”

                และเช้าวันพระนี้ ยายอ้นก็ทนการคะยั้นคะยอจากฉันไม่ได้ จึงพากันไปวัดด้วยกัน ซึ่งเรื่องเล่าถัดมาเป็นประสบการณ์ความจริงที่เกิดขึ้นกับยายอ้น…ขณะที่นั่งฟังพระสวดมนต์ เมื่อนั่งรวมกันอยู่ในศาลา ฉันสังเกตได้ว่าขณะที่นั่งฟังพระสวด ยายอ้นได้นั่งหลับตาตลอดเวลา ต่อมาก็มีเสียงร้องไห้สะอื้นเบาๆ ดังมาจากร่างยายอ้น (โดยตรง) แต่ขณะนั้นยายอ้นนั่งหลับตานิ่ง และเสียงได้ดังมาจากร่างของยายอ้นจนพระสวดจบก็ในราว 1 ชั่วโมง เรื่องนี้ทุกคนในศาลาได้ยินกันทุกคน เว้นเสียแต่ยายอ้นที่พอลืมตาตื่นได้ย้อนกลับถามที่ฉัน

                “เมื่อตะกี้มีคนร้องไห้อยู่ที่ข้างหูจนต้องหลับตาหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป” สิ้นคำพูดของยาย คนในศาลาได้แต่นั่งมองหน้ากัน…จากนั้นหลวงพ่อได้เรียกยายอ้นให้เข้าไปใกล้อาสนะด้านหน้า

                “รู้ไหม คนที่ร้องไห้เมื่อครู่นั้นเป็นโยมยายนะ”

                “อิฉันหรอกหรือคะ ก็ว่าเสียงร้องไห้นั้นดังมาก ดังอยู่ใกล้ๆ หู ยังนึกต่อว่าอยู่ในใจ ว่าทำไมช่างร้องไห้เก่งดีแท้”

                “โยมยายไม่รู้ตัวจริงๆ หรือ”

                “ไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ”

                “คงเป็นกรรมจากข้างในที่ผุดออกมา คงเป็นกรรมที่หนักหนาจนกายเนื้อบังคับไม่อยู่ ว่าแต่โยมอายุเท่าไหร่แล้ว”

                “84 ปีเจ้าค่ะ”

                “เคยทำกรรมสิ่งใดที่คิดว่าสาหัสสากรรจ์บ้าง เล่าสู่กันฟังได้ไหม?” หลวงพ่อถาม

                “ในอดีต ดิฉันเป็นนางงามเมือง ขายบริการ ต่อมาก็ผันตัวกลายเป็นแม่เล้า ผู้หญิงทั้งเหนือทั้งใต้ อิฉันค้าขายมาหมด แม้แต่ลูกหลานของตนเองก็ไม่เว้น”

                “มิน่าเล่า จิตใต้สำนึกของโยมจึงมีแต่ความเศร้าหมอง ต้องร้องไห้อยู่ในใจตลอดเวลา”

                “เป็นความจริงเจ้าค่ะ ทุกวันนี้อิฉันไม่อยากพูดกับใคร อยากนั่งร้องไห้เท่านั้น ครั้นจะร้องออกอาการโฮๆ ก็เกรงจะขายหน้า จำต้องเก็บอาการสะอื้นในหัวอกเพื่อมิให้ใครรู้ ว่าแต่อิฉันจะทำอย่างไรต่อไปดีเล่า”

                “แล้วทุกวันนี้โยมอยู่กับใคร”

                “อยู่ตามลำพังเจ้าค่ะ…เช่าห้องเขาอยู่ หากินเอง อาศัยกินทุนเก่า ลูกหลานนั้นไม่เคยได้เยี่ยมเยียน”

                “อย่างนั้นมาอยู่วัดด้วยกันเสียก็ได้ มานั่งสวดมนต์ปฏิบัติธรรม ได้อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วันละจบสองจบก็ยังดี ตัดสินใจเสียนะ ถือว่าอาตมาขอเชิญแล้วกัน” และวันนั้นเสมือนเป็นวันที่ยายอ้นได้คลี่คลายจากความทุกข์ใจ ข้าพเจ้ารับอาสาช่วยขนของเท่าที่จำเป็นให้คุณยาย หลวงพ่อให้ยายอ้นนอนที่กุฏิแม่ชี พร้อมเอ่ยกับผู้เขียน “ต่อไปหากลูกหลานโยมอ้นมาเยี่ยม ก็ให้มาที่วัด”

                จากนั้นท่านได้ให้หัวหน้าแม่ชีนำชุดขาวมาให้ยายอ้น “พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกอาตมา อย่างน้อยโยมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ยังมีคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นเพื่อนแท้จนวันตาย”

                ยายอ้นก้มกราบหลวงพ่อ น้ำใสๆ หยาดไหลเป็นทางสู่พื้น ได้แต่อนุโมทนาบุญอยู่ในใจ…อย่างน้อยการเดินทางเข้าวัดของยายอ้นวันนี้ ยังดีเสียกว่าที่จะให้ยายอ้นนั่งเศร้าหมองอยู่ตามลำพังหน้าห้องเช่า สุขใดสู้ความสงบไม่มีนะคะคุณยาย…ขออนุโมทนาสาธุ ไว้ ณ โอกาสนี้

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. pixabay.com, www.wallpaperflare.com, dailycaring.com, www.itsrosy.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •