7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                มีคนกล่าวไว้ว่า…เพื่อนบ้านดีเหมือนมีรั้วบ้าน…ความหมายคือเขาช่วยดูแลบ้านเวลาที่เราไม่อยู่ ซึ่งเราสามารถฝากฝังได้ มีน้ำใจแบ่งปันเขาบ้างเราบ้าง

                เพื่อนบ้านบางคนยังดีกว่าญาติเสียอีก…แต่ถ้าเราเจอเพื่อนบ้านที่ไม่ดี ชวนทะเลาะ หรืออิจฉาริษยาแอบนินทาตลอด ซึ่งมีข่าวให้เห็นบ่อยๆ เราควรจะทำอย่างไร…

                ในละแวกบ้านที่ฉันอยู่ มีใกล้เคียงกันอยู่สามหลัง โดยบ้านฉันอยู่ตรงกลาง ขนาบซ้ายขวาจะเป็นเพื่อนบ้าน ด้านซ้ายเป็นบ้านของคุณพรที่แกอยู่กับลูกสาวลูกเขย และหลานสาวที่อายุประมาณห้าขวบ

                คุณพรแกก็เป็นคนมีน้ำใจดี ปกติแกจะอยู่กับสามีที่ต่างจังหวัด แต่เนื่องด้วยมาช่วยเลี้ยงหลาน ก็เลยมาอยู่ที่นี่ ถ้ามีโอกาสเจอหน้ากันก็มักจะทักทายพูดคุยกันอยู่บ่อยๆ

                ส่วนบ้านที่อยู่ทางขวามือ เป็นบ้านของคุณนุ้ย ซึ่งนิสัยของแกมักจะออกอาการยกตนข่มท่าน แต่ก็มีความขี้เหนียวโดยเฉพาะสามีแก มักชอบพูดคุยว่าแกมีเงินเยอะ ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด บางครั้งฉันก็แค่รำคาญเลยเบรกไปบ้าง ซึ่งก็คงสร้างความไม่พอใจให้ทั้งสองคนผัวเมียอยู่บ่อยๆ

                แต่จริงๆ ละแวกนั้นก็ไม่ได้มีบ้านแค่เราสามหลังหรอก ยังมีอีกหลายหลังที่ห่างๆ กันไปแต่ก็ทักทายกันบ้างตามอัธยาศัย

                ความที่บ้านเราอยู่ใกล้กัน โดยเฉพาะคุณพรที่อยู่ทางซ้ายมือ เวลาแกกลับต่างจังหวัดก็มักจะเอากล้วยบ้าง ผักหญ้าแล้วแต่มาฝาก และเวลาที่ทำกับข้าว ฉันก็จะแบ่งปันไปให้เป็นการตอบแทน

                ซึ่งผิดกับบ้านคุณนุ้ย แกมักจะเอาผลไม้ที่แกกินไม่ได้แล้ว เช่น เกือบจะเน่า หรือบางทีก็เอาเครื่องปรุง บะหมี่กึ่งสำเสร็จรูปที่แกเก็บไว้มาให้ ค้างมาเป็นปีๆ บางทีราขึ้นเลยก็มี เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ฉันก็แค่รับมาแล้วก็เอาไปทิ้งขยะ แต่ฉันก็จะแบ่งปันแกงบ้าง หรืออะไรบ้างไปตอบแทน

                เหตุการณ์มันก็เป็นอยู่แบบนี้มาเรื่อย ซึ่งฉันไม่ได้สนใจเท่าไหร่ จริงๆ มันก็ต่างคนต่างอยู่คนละครอบครัว เจอก็ทักทายพูดคุยกันไป

แล้วเรื่องมันก็เกิดจนได้ ในเช้าวันเสาร์ที่หน้าบ้านมีรถมาจอดขวางทางเข้าออก และจอดเป็นแนวเลยสองสามคัน ซึ่งฉันกับสามีจะออกไปธุระ เอารถออกไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่ารถใครมาจอดขวางหน้าบ้าน ฉันจึงเดินไล่ถาม จนรู้ว่าเป็นรถบ้านคุณนุ้ยที่ญาติหรือเพื่อนเขามาหา…ฉันก็แค่ไปบอกว่า

                “คุณนุ้ยคะ…ช่วยขยับรถที่จอดหน้าบ้านหน่อยค่ะ พอดีต้องออกไปธุระ”

                เขาเดินออกมากับเพื่อนๆ หรือญาติเขาด้วยอาการมึนตึงและบ่นว่า

                “แหม…นานๆ จะจอดสักทีก็มีปัญหา เกิดอยากจะออกนอกบ้านกันขึ้นมา เอ้า…เร็ว มาถอยขยับรถให้เขาหน่อยสิ เรามาจอดเกะกะหน้าบ้านเขา”

                “คุณนุ้ย…คุณพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะคะ…เราเพื่อนบ้านกัน ถ้าฉันไปจอดขวางบ้านคุณบ้าง ถ้าคุณจะไปธุระคุณจะทำยังไง”

                เป็นอันว่าปะทะคารมกันไปพอสมควร ซึ่งเราก็รีบที่จะไปธุระ และหลังจากวันนั้น คุณนุ้ยเขาก็ทำมึนตึงไม่พูดไม่จาเหมือนคนโกรธกันเป็นเดือน ซึ่งฉันไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว

                หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไปก็มีเสียงเรียกที่ด้านข้างบ้านฝั่งบ้านคุณนุ้ย รู้สึกแปลกใจหน่อย แต่ก็เดินออกไปพบ

                “แหมคุณป้อม…เรียกตั้งนานคิดว่าไม่อยู่…นี่ค่ะ พอดีแกงมัสมั่น แกงเยอะเลยแบ่งมาให้ทาน”

                ตอนนั้นฉันรู้สึกงงๆ แกคงตั้งใจมาง้อล่ะมั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร ก็เลยรับถุงแกงมายังร้อนๆ พร้อมกับพูดคุยขอบอกขอบใจกันอีกสักพักแล้วก็แยกย้าย

                จังหวะที่ฉันกำลังจะเดินเข้าบ้าน คุณพรก็ร้องทักพอดี เลยแวะคุยที่รั้วบ้านด้านซ้าย ฉันไม่ได้คิดอะไรพอๆ กับที่ไม่ชอบกินแกงกะทิ ฉันเลยส่งแกงมัสมั่นให้คุณพรแทน

                “คุณพรทานข้าวหรือยัง…คุณนุ้ยแกให้มายังร้อนๆ พอดีป้อมไม่ชอบแกงกะทิ คุณพรเอาไปทานแล้วกันนะคะ…ไม่ถือนะคะ”

                คุณพรรับไปคุยกันไป สักครู่ก็แยกย้าย โดยที่คุณพรหิ้วถุงแกงเข้าบ้าน พอวันต่อมาคุณนุ้ยก็เรียกให้แกงอีก คราวนี้เป็นแกงเขียวหวานไก่ ฉันก็รับมาแล้วเอาแกงไปให้คุณพร ซึ่งเธอบอกว่าเธอชอบแกงกะทิ

                แล้วเหตุการณ์ก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ วันสองวันก็เอาแกงมัสมั่นมาให้อีก วันสองวันก็แกงเขียวหวาน วนอยู่สองอย่างแบบนั้น จนสองอาทิตย์ผ่านไป คุณนุ้ยก็ยังคงเอาแกงสองอย่างสลับมาให้ ซึ่งฉันก็ไปเรียกคุณพร แต่คนในบ้านบอกว่าคุณพรไม่สบายมาก ฉันเลยไปเยี่ยมในบ้าน

                สภาพที่เห็น คุณพรนอนอยู่บนตั่ง มีที่นอนเล็กๆ ปูไว้ ลักษณะของแกเหมือนคนที่ป่วยหนักมากๆ หน้าตาอิดโรย ซูบซีดไปถนัดตา…แกไม่ตอบไม่สบตา และเอาลิ้นเลียริมฝีปากตลอดเวลา แต่เวลาที่มองหน้าแกชัดๆ ดวงตาแกแข็งกร้าวน่ากลัว

                “คุณพรป่วยเป็นอะไรคะ เมื่อวันก่อนยังดูดีๆ อยู่เลย แล้วนี่ไปหาหมอหรือยังคะ”

                “คุณแม่เพิ่งมีอาการแบบนี้มาสองสามวันนี่แหละค่ะ ไม่ยอมทานอะไรเลย นอนแบ็บอยู่อย่างนี้…น้องออมก็กลัวคุณยายด้วยค่ะ”

                แล้วเด็กน้อยหลานสาวแกก็พูดขึ้นว่า

                “แม่ขา แม่ขา…คุณยายเป็นผี…ออมกลัว…”

                “น้องออม ไม่เอาไม่พูดอย่างนั้น…คุณยายแค่ไม่สบาย”

                “ไม่…น้องออมเห็นคุณยายเป็นผี…น่ากลัว คุณยายบอกว่าจะกินตับ”

                แล้วแกก็กอดซุกกับอกแม่ที่เป็นลูกสาวของพี่พร ฉันมีความรู้สึกว่าพี่พรแปลกไปจริงๆ เหมือนไม่ใช่ตัวแก

                “ช่วงนี้หนูว่าจะหาจ้างคนมาดูแลแม่ พอดีตอนนี้ปิดเทอมน้องออมไม่ยอมอยู่กับคุณยาย กลัวอย่างเดียว แล้วตอนนี้คุณยายป่วยอีก หนูต้องเอาไปที่ทำงานด้วย ยังไงพี่ป้อมอยู่ใกล้ หนูฝากแวะมาดูแม่ให้บ้างนะคะ รบกวนพี่”

                ฉันรับปาก ซึ่งวันรุ่งขึ้นก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง จำได้ว่าบ้านเขาอยู่แถวปากซอยชื่อสาว กำลังยืนกวาดอยู่หน้าบ้าน ฉันจำได้เพราะคุ้นเคยเลยร้องทักไป

                “มาช่วยดูพี่พรเหรอคะ…มีอะไรให้ช่วยก็เรียกนะคะ”

                เธอตอบว่าใช่แล้วก็ส่งยิ้มมาให้แบบเป็นมิตร

                เวลาผ่านไปอีกสักสองวัน สาวก็หน้าตาตื่นมาเรียกฉันที่ริมรั้ว พอดีกับที่ฉันได้แกงเขียวหวานจากคุณนุ้ย ก็เลยยื่นให้ซึ่งสาวก็รับไว้

                “มีอะไรหรือเปล่า…เออ เอาแกงนี่ไปทานนะคะ”

                เธอรับไปถือไว้ แล้วไม่ลืมพูดกับฉันว่า

                “ขอบคุณค่ะ…คุณป้อม…คุณป้อมเข้ามาดูป้าพรหน่อย ฉันอยากให้คุณมาช่วยเป็นพยานว่ามันน่ากลัว”

                น้ำเสียงและท่าทางของเธอตื่นตระหนกและกังวลมาก ฉันรีบเดินอ้อมไปหน้าบ้าน และเดินตามสาวเข้าไปในบ้าน

                พี่พรนั่งหันหลังก้มๆ เงยๆ อยู่กลางเตียงไม้ สาวเดินแบบกล้าๆ กลัวๆ หยุดยืนแค่หน้าประตูเหมือนไม่กล้าเข้าไป

                “ดูนะ…ว่ามันเกิดอะไรขึ้น….”

                ฉันตัดสินใจเรียกและเดินเข้าไปใกล้ๆ ทันทีที่พี่พรหันหน้ามา ฉันก็ตกใจแทบช็อก เพราะในปากของพี่พรนั้น แกคาบหนูเอาไว้ ซึ่งตัวหนูยังดิ้นกระแด่วๆ โดยที่มันถูกกัดที่ท้อง

                มุมปากทั้งสองข้างของพี่พรเลอะเปรอะไปด้วยเลือดของหนู…แกแสยะยิ้มให้ฉัน ทั้งๆ ที่ปากยังคาบหนูที่กำลังจะตายเอาไว้…แถมยังมีเสียงหัวเราะเบาๆ จากลำคอ เขาทำได้ยังไง

                คุณพระช่วย มันเกิดอะไรขึ้น ฉันผงะถอยหลัง จนชนเข้ากับสาวซึ่งเกาะแขนฉันไว้แน่น

                “นี่…นี่…แหละค่ะ ไม่เอาแล้วน่ากลัวมาก ฉันไม่เอาแล้วไม่อยู่แล้ว แกผีปอบเข้าสิงแน่ๆ …กินหนูสกปรก….โอ๊ยน่ากลัว”

                สาวพูดไปสั่นไป ฉันเองก็กลัวไม่แพ้กัน เราค่อยๆ ถอยหลังเดินออกมา พอพ้นประตูบ้านเราสองคนวิ่งเลยค่ะ ฉันวิ่งเข้าบ้าน สาวกลัวมาก แกวิ่งตามเข้ามาด้วย สองคนมานั่งสั่น แล้วก็นึกได้เลยโทรหาลูกสาวพี่พรทันที

                จนลูกสาวกับลูกเขยพี่พรช่วยกันเอาพี่พรไปส่งโรงพยาบาลทันที ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากมาขอบใจ ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป เพราะสาวไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง จนเขาลือกันว่าพี่พรเป็นปอบ

                ทำให้พอตกตอนเย็นชาวบ้านต่างพากันเก็บตัวเงียบ ไม่มีใครออกมาเดินพูดคุยกัน ฉันไม่กล้าถามเรื่องพี่พรกับลูกสาวเขา และดูเหมือนเขาหลบๆ หน้าด้วย แต่ก็รู้ว่าพี่พรไปอยู่โรงพยาบาล

                ตอนสายๆ ของวันถัดมา เสียงคุณนุ้ยเรียกอยู่ข้างๆ รั้ว พอฉันเดินไปถึงแกไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นแกงมัสมั่นส่งมาให้ ฉันรีบพูดออกไปทันที

                “วันนี้ไม่รบกวน คุณนุ้ยให้มาบ่อยๆ เกรงใจ พักนี้ไม่ได้มีอะไรให้ตอบแทนบ้างเลย ยังไงคุณนุ้ยเก็บไว้ทานเถอะค่ะ ขอบคุณนะคะ แล้วอีกอย่างคนทานเขาก็ไม่อยู่แล้วด้วย”

                “ทำไมล่ะคะ…อุตสาห์ทำมาให้ แล้วใครไม่อยู่ล่ะคะ”

                “อ๋อ…แกงที่คุณนุ้ยให้ ป้อมจะเอาไปฝากคุณพรอีกที ขอโทษนะคะ ป้อมไม่ค่อยชอบแกงกะทิ เลยให้คุณพรอีกที แกก็ชอบนะคะ แกทานทุกครั้งเลย ยังชมว่าอร่อยมากๆ ป้อมก็บอกว่าคุณนุ้ยให้มา ตอนนี้คุณพรแกป่วยป้อมก็ไม่รู้จะเอาไปให้ใครต่อ วันก่อนแกงเขียวหวานป้อมก็ให้สาวไป”

                แกทำท่าตกใจตาโต แล้วพูดเสียงดังว่า

                “อะไรนะ…อย่าบอกนะคะว่าที่ให้มา คุณป้อมไม่เคยกินเลย แต่กลับเอาไปให้คุณพรกินแทน”

                “ใช่ค่ะ คือป้อมไม่ค่อยชอบแกงกะทิ สามีก็ไม่ชอบเหมือนกัน อีกอย่างตอนนี้คุณพรแกไม่อยู่ ก็ไม่รู้จะให้ใครกินนี่แหละค่ะ คุณนุ้ยเอาไว้ทานเถอะนะ”

                “ทำไมคุณป้อมทำอย่างนี้ ไม่ดีเลยนะ…ของที่ฉันให้คุณก็ต้องกินสิ กลับเอาไปให้คนอื่นได้ยังไง…มิน่า…”

                “ก็ป้อมไม่ชอบทาน คุณนุ้ยให้มาป้อมจะไปให้ใครก็ได้”

                “ไม่ได้…ให้คุณ…คุณก็ต้องกิน”

                คุณนุ้ยออกอาการหัวเสีย แล้วก็เดินกลับไป ประหลาดคน ฉันคิด แกมีท่าทีที่โกรธมาก ไม่ถึงอึดใจได้ยินเสียงรถขับออกไป สักพักฉันขี่จักรยานไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อปากซอย เห็นคนมุงดูอุบัติเหตุบนถนนใหญ่กัน

                พอดีเจอคนรู้จักเลยถามว่ารถใครชนกัน ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นตอบว่า มีรถเก๋งพุ่งออกมาจากซอย แล้วมีรถกระบะมาทางตรง ประสานงากันพอดี ผู้หญิงที่ขับรถออกจากซอยตายคาที่ ส่วนอีกคันบาดเจ็บนิดหน่อย กู้ภัยมาแล้วตำรวจกำลังมา

                รถออกจากซอย ฉันนึกแวบถึงคุณนุ้ยทันที เพราะแกเพิ่งขับออกไป….ซึ่งก็เป็นคุณนุ้ยจริงๆ ฉันไปช่วยงานศพแกทุกวันจนวันเผา

                ซึ่งมีญาติหรือเพื่อนคุณนุ้ยสองสามคนคุยกัน ระหว่างรอพิธีบังเอิญฉันนั่งอยู่ด้านหลังผู้หญิงสองสามคนนั่น…และสิ่งที่ได้ยิน

                “มีปัญหากับคนที่ทำงานไม่ยาก…อาจารย์เขาเก่ง จะเอาแบบไหน ถึงตายไม่ตาย บ้าๆ บอๆ”

                “ทำได้จริงเหรอ…สมัยนี้แล้วนะ แล้วทำแบบไหนล่ะแก”

                “สมัยไหนเขาก็ทำได้หมด จะเอาแบบสั่งสอนหรือแบบหนักๆ ยิ่งพวกชอบแย่งผัวเขานะ จัดไป ไม่ถึงตายแค่บ้าไปเลย ที่เคยเห็นเบาๆ นะ อาจารย์เขาจะให้ใส่ในอาหารให้กิน แต่ต้องเป็นพวกแกงกะทินะ…อย่างพวกมัสมั่นหรือแกงเขียวหวาน แบบเขาสั่งไว้สองแกง เอาไปให้คนที่เราไม่ชอบกิน เดี๋ยวมันก็บ้าๆ บอๆ ไปเอง…แต่ต้องแค่สองแกงแค่นั้นนะ มันจะไม่ได้กลิ่นไง”

                “เฮ้ยเบาๆ เดี๋ยวใครได้ยิน ยังไงก็พาไปหน่อยนะ”

                ฉันได้ยินเต็มสองหู โดยเฉพาะ…แกงมัสมั่นกับแกงเขียวหวาน คุณพระช่วย แกงสองอย่างนี้ที่คุณนุ้ยเอามาให้เราบ่อยๆ พอแกรู้ว่าเราไม่ได้กิน แกก็แสดงอาการโกรธ

                ฉันถึงขนาดเอามือทาบอกด้วยความตกใจ…ใช่จริงๆ ด้วย แสดงว่าคุณนุ้ยทำของใส่เรา แต่เราเอาไปให้คุณพร แกเลยรับเคราะห์แทนที่แกเป็นแบบนั้น

                ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะแกจะให้แค่สองแกงนี้กับเรา รู้สึกใจหายแวบขึ้นมา..

                ฉันค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ เดินไปขึ้นรถกลับบ้าน ไม่ได้อยู่รอจนเผาศพคุณนุ้ย นี่เขาถึงขนาดทำของใส่เรา…และนั่นคงเป็นเวรกรรมสนองที่ทำให้เขาต้องมาประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต

                ฉันอโหสิให้แล้วกันนะ…แต่ฉันคงทำใจไปเผาคุณไม่ได้ และคิดว่ากรรมใดใครก่อ คนนั้นก็รับไป จิตใจของคนนี่ยากที่จะหยั่งถึงจริงๆ นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่ไม่รู้สึกอยากกินแกงนั้นเพราะไม่ชอบ เลยทำให้ไม่เป็นไปในแบบที่เขาต้องการ

                แต่ไม่รู้ว่าคุณพรมีกรรมอะไรกับเขาหรือเปล่าถึงมารับแทนไป ความบังเอิญคงไม่มี…ฉันรู้สึกขนลุก…โชคครั้งนี้ดีกว่าถูกหวยเสียอีก เพราะการได้มีชีวิตอยู่เพื่อประกอบคุณงามความดีและนำติดตัวไปในภพภูมิข้างหน้าได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด…

เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •