เรื่องในสมัยที่ผมเรียนอยู่โรงเรียนสมัยประถมยังมีอีกหลายเรื่อง เรื่องพวกนี้ผมยังจำได้ดี แม้จะผ่านเวลามานานมากแล้วก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว เรื่องหลายเรื่อง หลายเหตุการณ์ ผมยังรู้สึกเหมือนกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ยังใหม่และยังสดๆ ร้อนๆ อยู่เลย
อย่างวันก่อน ผมเลิกงานเร็วก็ไปเดินเล่นแถวสี่แยกพิชัย
ละแวกนี้เคยเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเก่าผม เป็นโรงเรียนเรือนไม้สองชั้นทาสีเขียว อาณาบริเวณในโรงเรียนดูกว้างขวางเหลือเกิน
ผมนั้นคลุกคลีกับโรงเรียนนี้มาตั้งแต่เด็กๆ อาจจะเพราะผมชอบอะไรแบบนี้ก็ได้ เลยรู้สึกผูกพันกับที่นี่มาก
โรงเรียนที่ว่ามีเจ้าของเป็นอาจารย์ใหญ่ ซึ่งสมัยนั้นเราเรียกว่าครูใหญ่ แกมีลูกชายและลูกสะใภ้ บ้านของแกก็คือโรงเรียนนั่นแหละ ดังนั้นจึงมีอาคารและห้องหลายๆ ห้องในตึกเรียนที่เด็กทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดู เพราะห้องเหล่านั้นก็คือห้องส่วนตัวของคุณครูใหญ่และลูกๆ ของแกนั่นเอง
สมัยผมเรียนอยู่ที่นี่ ตั้งแต่ขึ้นชั้นประถมสอง ผมจะเรียนที่ตัวอาคารใหญ่ที่เป็นอาคารสองชั้น ตัวอาคารทอดยาวไปตามพื้นที่ของโรงเรียน…อาคารตรงนี้เป็นรูปตัวแอล เพราะมีส่วนเชื่อมต่อของอาคารอีกส่วนหนึ่งกับตัวตึกใหญ่ที่เป็นตึกอำนวยการ
ถัดจากอาคารอำนวยการที่เป็นศูนย์กลางของตัวตึกนี้แล้วจะมีอาคารเป็นปีกซ้าย และยาวเรื่อยลงไปข้างหลัง ถัดจากอาคารในส่วนนี้จะเป็นโรงอาหาร และโรงนอนของเด็กอนุบาล มีเรือนคนงาน ภารโรง คนขายของ และห้องเรียนอยู่ตรงนี้อีกหนึ่งห้อง คือชั้นประถม 1 ก. มีครูจรวยเป็นครูประจำชั้น
ถัดจากโรงอาหารจะเป็นลานหลังโรงเรียน มีดงกล้วย มีต้นฝรั่งขี้นก มีต้นไม้อีกนิดหน่อย และสนามหลังโรงเรียนเป็นที่ดินเวิ้งๆ ภายหลังทางโรงเรียนเทปูนทับไปทั้งหมด เพื่อเวลาหน้าฝนจะได้ไม่เฉอะแฉะ
นั่นแหละครับ คือภาพรวมของโรงเรียนเก่าผม ซึ่งผมมีเรื่องราวที่นี่อยู่แยะ
และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของ…ครูใหญ่นั่นเอง
สมัยนั้น ครูใหญ่เป็นอะไรที่พวกเราที่เป็นเด็กนักเรียนกลัวมาก…เพราะลงได้ขึ้นชื่อว่าครูใหญ่ ก็น่าจะใหญ่กว่าครูธรรมดา ก็ขนาดครูธรรมดาๆ เรายังกลัวขนาดนี้ แล้วนี่ครูใหญ่จะไม่น่ากลัวได้หรือ?
ยิ่งห้องของครูใหญ่ด้วยแล้ว ไม่มีใครกล้าไปยุ่งหรือกล้าย่างกรายเข้าไปโดยเด็ดขาด เพราะห้องของครูใหญ่นั้นอยู่ในอาคารอำนวยการ และอยู่ในส่วนที่สูงที่สุด เป็นห้องเดี่ยวโดดๆ ขึ้นไปจากตัวอาคารนั้น พวกเราเรียกกันว่าห้องหอคอย…
ว่ากันว่า ครูใหญ่นั่งดูพวกเราและสั่งงานทุกอย่างภายในโรงเรียนนี้จากห้องหอคอยนั้นนั่นเอง
วันหนึ่ง เย็นเต็มทีแล้ว แต่พวกผมอันประกอบไปด้วยเพื่อนๆ สามสี่คนยังไม่รีบกลับบ้าน เพราะเรากำลังเล่นติดพันกันอยู่หลังโรงเรียน
บรรยากาศรอบๆ ตัวเราสลัวรางลงทุกที แต่เราก็ยังหาได้สนใจไม่ เพราะการเล่นที่ติดพันอยู่ตรงหน้าเป็นการตัดสินระหว่างความเป็นความตายทีเดียว เรากำลังเล่นทอยเส้นกัน ผมและพรรคพวกแพ้นายโด่งหัวโจกอยู่หลายตา และเสียตุ๊กตาตัวเก่งๆ ไปหลายตัว ดังนั้นเราต้องเอาคืนให้ได้
แต่เพราะการที่เรามัวแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับการเล่นตรงหน้า ทำให้ไม่ทันได้ดูไปรอบๆ ว่าเวลานี้โรงเรียนเราแทบจะเป็นโรงเรียนร้างแล้ว เพราะทั้งครูเวร ทั้งนักเรียนที่เด็กกว่าต่างพากันกลับบ้านกันหมด พวกที่ยังอยู่ก็เห็นจะมีแต่รุ่นพี่ ป.6 เท่านั้น เพราะหลายคนบ้านก็อยู่แถวนี้นั่นเอง
พอเรารู้ตัวว่าเย็นมากแล้วก็หันมาสนใจกับความเคลื่อนไหวในโรงเรียน และรู้สึกว่าเวลานี้มันช่างเงียบเกินไปจริงๆ
พอเรารู้สึกตัวต่างก็เริ่มหวาดกลัว เพราะมีเรื่องที่พูดถึงกันอยู่เยอะ อย่างเรือนครูจรวย อย่างดงกล้วยหลังโรงเรียน ห้องน้ำตึกบน…และอะไรอีกหลายอย่าง…ต่างพาให้เรารู้สึกกลัวกันขึ้นมาทันที
เราพากันเก็บอุปกรณ์การเล่น พร้อมกับเดินมาหน้าโรงเรียน และกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
ขณะที่เราเดินมาหน้าโรงเรียนจะต้องผ่านเสาธง ผมนึกอย่างไรไม่ทราบ เกิดจะเงยหน้าขึ้นไปมองที่ห้องหอคอยซึ่งเป็นห้องของครูใหญ่
ที่นั่นเองที่ผมได้พบกับอะไรบางอย่าง ผมรีบสะกิดบอกให้เพื่อนทั้งกลุ่มมองตามผมทันที ทุกคนรีบเงยขึ้นไปมองดู แล้วเราทุกคนก็ได้เห็นอะไรแปลกๆ
อะไรแปลกๆ ที่ว่านั้นทำให้เลือดในตัวเราเย็นเฉียบ ผมนั้นขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มันเย็นและเสียววาบขึ้นมาจากกลางหลังเลยทีเดียว
เพราะสิ่งที่ทำให้เราตกใจก็คือ เราเห็นหน้าต่างในห้องหอคอยเปิดอยู่ ซึ่งปกติมันไม่เคยเปิดเลย แต่วันนี้มันเปิด และหน้าต่างที่เปิดนั้นก็ทำให้เรามองเห็นอะไรบางอย่างในห้อง
เราเห็นคนผูกคอตาย ห้อยโตงเตงอยู่ในห้องมืดๆ นั้น…เราเห็นแน่ๆ คนผูกคอตายจริงๆ เขาสวมเสื้อมีแขนและกระโปรงยาวสีส้ม…ซึ่งจะดูไปแล้วมันเป็นชุดของครูใหญ่ไม่ผิดแน่
…ครูใหญ่ ฆ่าตัวตาย โดยแกผูกคอตายไปแล้ว…
เราทุกคนหน้าซีดตกใจกลัวมาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะไปบอกใครรึ เวลานี้ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ครูคนอื่นก็กลับกันหมด…แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ เราจะทำอย่างไรดี?
หลายคนบอกช่างมันกลับกันเหอะ…แต่เราก็ลืมไปว่าพวกเรายังกลับไม่ได้ เพราะกระเป๋าหนังสือเรียนยังไม่ได้เอาลงมาจากห้องเรียนเลย
ครั้นจะทิ้งกระเป๋าเอาไว้ก็ไม่ได้ เพราะเรามีการบ้านที่จะต้องทำ และต้องส่งพรุ่งนี้ ถ้าไม่ทำหรือถ้าไม่ส่ง เราทั้งหมดมีหวังโดนตีขาลายแน่…เราต่างคนต่างสองจิตสองใจว่าจะเอายังไงกันดี
แต่นายป๊อบก็โพล่งขึ้นมาว่า เฮ้ย ขึ้นไปเอากระเป๋าก่อนเหอะ ไม่งั้นพรุ่งนี้โดนหวดแน่ แต่นายณัฐ ตาแหกประจำห้องพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า ละ..แล้ว คะ..ครูใหญ่ล่ะ กะ..แกอยู่ห้องหอคอย เราขึ้นไปห้องเรียน เดี๋ยวก็เจอกะ..แกหรอก
ทุกคนมองหน้ากัน มันจริงอย่างที่นายณัฐว่าเสียด้วย ครูใหญ่เราก็กลัวแล้ว นี่แกยังมาผูกคอตายเสียอีก เรายิ่งแหยงไปกันใหญ่ แต่กระเป๋าเรียนก็ทิ้งไว้ไม่ได้เหมือนกัน
…สุดท้าย มันก็จริงอย่างที่นายป๊อบว่า ผีหลอกดีกว่าโดนหวด…เราทุกคนตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ตึกเรียนทันที เรากลัวมาก กลัวว่าศพครูใหญ่ที่ผูกคอตายจะลุกออกมา เวลานั้น เราสงสัยว่าทำไมไม่มีใครมาดูเลยนะ ครูใหญ่ผูกคอตายเป็นเรื่องใหญ่แท้ๆ ทำไมทุกคนยังนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่า ทุกคนยังไม่มีใครรู้เรื่องก็ได้…คอยดูนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เถอะ ข่าวใหญ่แน่
ผมคิดในใจพลางเดินเกาะกลุ่มกับพวกเขาขึ้นไป เวลานี้ เรากลัวแม้กระทั่งตึกเรียนและห้องเรียนที่เราเรียนอยู่ทุกวันเลยทีเดียว
ผมกับนายณัฐเดินตามหลัง ข้างหน้าผมประกอบไปด้วย นายป๊อบ นายโด่ง และนายพรชัย
วันนี้เรามีกันอยู่ห้าคนเท่านั้นเอง เราก็เลยเดินกันแบบย่องๆ กลัวคนจะรู้ กลัวครูใหญ่จะออกมาหลอกเอา แข้งขามันพานหมดแรง แทบจะไม่ยอมขยับเอาเสียเลย
ผมหวั่นใจมาก จนขึ้นมาถึงชั้นสองที่เป็นห้องเรียนของเรา หลายคนชำเลืองตามองไปที่ห้องอำนวยการ ตรงนั้น เราเห็นบันไดที่จะขึ้นห้องหอคอย…ห้องหอคอยที่เวลานี้ ศพครูใหญ่ที่ผูกคอตายกำลังแขวนห้อยโตงเตงอยู่อย่างนั้น แค่คิด…พวกเราก็แทบจะขวัญหนีดีฝ่อตายแล้ว
เราไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปในห้องและตรงไปที่โต๊ะเรียนประจำตัวของใครของมัน แล้วก็รีบฉวยกระเป๋าเรียนออกมาทันที เวลานี้ในหัวพวกเรามีแต่จะต้องรีบออกไปจากห้องนี้…ไปจากตึกเรียนนี้ และออกไปจากโรงเรียนนี้ให้เร็วที่สุด
แต่แล้ว เราทุกคนก็ต้องชะงักเท้าพรืด เพราะเราได้ยินเสียงกุกกักตรงมาทางนี้ แถมเราก็ดันไปหยุดยืนมองพร้อมกันทุกคนเสียด้วย
เราต่างคนต่างก็ตกตะลึงในภาพที่เห็น…เราเห็นเงาคนเดินมาทางนี้ เงานั้นทอดยาวมาบนพื้น และค่อยๆ โผล่ออกมาจนเราเห็นคนคนนั้นได้ถนัด
ผมและทุกคนตกใจจนแทบจะขยับไม่ได้ นายณัฐแหกปากร้องออกมาเป็นคนแรกแล้วก็สลบไปก่อน ผมกับเพื่อนต่างคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก เราสติวูบลงไปตรงนั้นเลย เพราะความกลัวมันถึงขีดสุดแล้ว
…เพราะภาพที่เราเห็นนั้นก็คือคุณครูใหญ่นั่นเอง แกมายืนดูเรา และกำลังจ้องมองพวกเราอยู่ตอนนี้ แต่…แกผูกคอตายอยู่ในห้องหอคอยแล้ว แกตายไปแล้วนี่นา ผมคิดมาถึงตรงนี้…สติของผมก็ดับวูบไปอีกคน
ผมมาฟื้นและลืมตาขึ้นก็เห็นครูเวรสองสามคนกำลังแก้ไขพวกเราอยู่ ผมนิ่งมองไปในกลุ่มคนนั้น เราก็เห็นครูใหญ่ยืนอยู่ด้วย คราวนี้ผมแหกปากร้องเป็นคำรบที่สอง จนครูเวรต้องมาช่วยกันปลอบ และถามว่าเรากลัวอะไรกัน
ผมและนายป๊อบที่ฟื้นขึ้นมาไล่ๆ กัน ต่างก็เล่าเรื่องที่เราเห็นมาจากห้องหอคอย เราบอกว่าเราเห็นครูใหญ่ผูกคอตายห้อยอยู่ในห้องนั้น เวลานี้ คนคนนี้เป็นผี เราว่าพลางชี้ครูใหญ่ที่กำลังยืนงงๆ ดูพวกเราอยู่
แล้วเหมือนแกจะนึกอะไรขึ้นได้ แกเดินกลับขึ้นไปบนห้อง พลางไปหยิบของบางอย่างลงมาให้เราดู
มันเป็นเสื้อผ้าหรือชุดแซกสีชมพูของแกที่แขวนรวมเอาไว้ด้วยกัน ทั้งเสื้อทั้งกระโปรงต่อกันทั้งชุด แกบอกแกแขวนเอาไว้รับแดด เพราะพรุ่งนี้จะได้ใส่อีกครั้ง
…เรามองมาจากข้างล่าง และเห็นไม่ถนัดเพราะห้องมันค่อนข้างมืด ก็เลยทำให้เห็นไปว่าเป็นแกผูกคอตายไปแล้ว
ถึงตรงนี้เราทุกคนโล่งอกไปตามๆ กัน เพราะเราคิดว่าเป็นแกที่กลับมาจากนรกหลังจากตายไปแล้ว วันนั้นเรายังหวาดๆ กันอยู่เลย…แต่ทว่า…คืนนั้นผมนอนไม่หลับ เพราะในหัววนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้
ครูใหญ่ไม่ตายจริงๆ เรอะ ก็เราเห็นแกผูกคอตายจริงๆ นี่นา แล้วชุดที่แกเอามาให้ดู มันก็เป็นคนละชุดกันด้วย ผมจำได้ว่าชุดที่เราเห็นว่าแกตายสีออกส้มๆ แต่ชุดที่แกเอาลงมาให้ดูมันเป็นสีชมพู…????
แต่ถึงกระนั้น…เรื่องนี้ก็เป็นอีกหลายเรื่องที่ผมยังคลุมเครือและยังฝังใจมาจนทุกวันนี้เลยทีเดียว
เรื่องและภาพประกอบโดย จุติ จันทร์คณา
ภาพปกโดย. Ai